ผลวิจัยชี้การเพิ่มอัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถช่วยชีวิตเด็กและเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล ช่วยให้ไอคิวเด็กเพิ่มขึ้นเกือบ 3 จุด ส่งผลให้ในอนาคตเด็กมีรายได้สูงขึ้น
กรุงเทพฯ (24 มีนาคม 2559) – ข้อค้นพบจาก The Lancet Breastfeeding Series ซึ่งได้รับการนำเสนอวันนี้สรุปว่า เมื่อประเทศต่างๆ ส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างจริงจัง จะช่วยพัฒนาทั้งเศรษฐกิจและสุขภาพของแม่และเด็ก
มีหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเหมาะสมนั้น ช่วยให้
- สามารถช่วยชีวิตเด็กทั่วโลกได้ 820,000 คนต่อปี โดย 9 ใน 10 คนเป็นทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือน
- มีรายงานว่า ทุก 1 ปีที่แม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นานขึ้น จะช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมได้ร้อยละ 6
นายแพทย์วชิระ เพ็งจันทร์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “วันนี้ หลักฐานงานวิจัยที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกแสดงให้เห็นบทบาทของนมแม่ต่อการพัฒนาเด็ก โดยเด็กที่กินนมแม่สามารถมีไอคิวเพิ่มขึ้นได้ถึงเกือบ 3 จุด ดังนั้น การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะช่วยให้เด็กทุกคน มีสุขภาพที่ดีและพัฒนาการดีสมวัย และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพดี”
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า เด็กที่มีพัฒนาการสมองที่ดีจะได้รับค่าตอบแทนที่มากขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ และได้คำนวณว่า ความสูญเสียทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการเสียโอกาสการพัฒนาสติปัญญาอย่างเต็มที่ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับการไม่ได้รับนมแม่ของเด็กทั่วโลก คิดเป็นมูลค่าถึง 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับในประเทศไทย มีการวิเคราะห์ว่าหากเด็กทุกคนได้รับนมแม่อย่างเต็มที่ ประเทศไทยจะสามารถป้องกันการสูญเสียรายได้ถึง 192.6 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (6,837.3 ล้านบาท) จากความสามารถของสมองที่เพิ่มขึ้น และยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเด็กที่ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงและปอดบวมถึง 7.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (269.8 ล้านบาท) ด้วย
“การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด ที่แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงแรกของชีวิต ซึ่งคือตั้งแต่ทารกได้กินนมจากอกแม่” นางซู ฮอร์ตัน นักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข และหนึ่งในผู้เขียนรายงานทั้งสองชิ้น กล่าว “ดังนั้น จึงต้องมีการลงทุนเพื่อส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และสนับสนุนให้รัฐบาลประเทศต่างๆ บุคลากรสาธารณสุข สถานประกอบการ ชุมชน และครอบครัว ช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่สนับสนุน ปกป้อง และส่งเสริมนมแม่”
ติดตามอ่าน สถิติที่น่าสนใจหากเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่” อย่างเหมาะสม ต่อที่หน้า 2
สถานการณ์ “นมแม่” ของไทยในปัจจุบัน
- มีทารกเพียงร้อยละ 46 ที่ได้รับนมแม่ตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิต
- ทารกเพียงร้อยละ 12 ได้รับนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน
- เด็กเพียงร้อยละ 18 ได้รับนมแม่จนอายุ 2 ปี
การปฏิบัติทั้งสามอย่างข้างต้นนี้เป็นคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและองค์การยูนิเซฟ ซึ่งเป้าหมายสากลนั้น ตั้งไว้ว่า อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ล้วน 6 เดือน อยู่ที่ร้อยละ 50
อุปสรรคต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ที่พบได้เสมอ คือ
- การไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากบุคลากรสาธารณสุข
- การขาดข้อมูลที่ถูกต้อง
- การทำงานในสถานประกอบการที่ไม่เอื้อต่อการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
- การส่งเสริมการตลาดที่ดุเดือดของอุตสาหกรรมนมผง
ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการเสนอกฎหมายเพื่อควบคุมการส่งเสริมการตลาดนมผง เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์สากล นอกจากนี้ ควรมีการมุ่งเน้นเพื่อให้เกิดการปกป้องสิทธิของแม่ในสถานที่ทำงานมากขึ้น เช่น การมีมุมนมแม่ และการอนุญาตให้พักบีบเก็บน้ำนมได้
“หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้นชัดเจนมาก” นางนีมัท ฮาจีบอย ผู้ประพันธ์รายงานอีกท่านหนึ่งกล่าว “สิ่งที่ต้องการคือความตระหนักว่า การสร้างวัฒนธรรมนมแม่เป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้แม่และครอบครัวสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูกได้
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในประเทศไทย มีทารกเพียง 1 ใน 8 เท่านั้นที่ได้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วงหกเดือนแรก ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำมากทั้งๆ ที่นมแม่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่แม่จะมอบให้แก่ลูกได้ในช่วงหกเดือนแรกของชีวิตแรก การพลาดโอกาสในช่วงนี้ไปอาจไม่สามารถเรียกสิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้”
ข้อมูลเกี่ยวกับ The Lancet Breastfeeding Series www.thelancet.com/series/breastfeeding
สถิติที่น่าสนใจหากเลี้ยงลูกด้วย “นมแม่” อย่างเหมาะสม
- ช่วยให้เด็กมีชีวิตรอดจากโรคอุจจาระร่วงและปอดบวม ปีละ 262 คน ส่งผลให้ลดอัตราการเสียชีวิตของเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
- ช่วยให้แม่รอดชีวิตจากโรงมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น 406 รายต่อปี
- ประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเด็กที่ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วงและปอดบวมถึง 7.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (269.8 ล้านบาท)
- ป้องกันการสูญเสียรายได้ถึง 192.6 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี (6,837.3 ล้านบาท) จากความสามารถของสมองที่เพิ่มขึ้น จากการศึกษา ประมาณการได้ว่า ไอคิวที่มีค่าเพิ่มขึ้น 1 จุด จะสามารถเพิ่มรายได้ในอนาคตได้ถึง 16%
- ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวที่เกี่ยวเนื่องจากการพาลูกไปรักษาโรคอุจจาระร่วงและปอดบวม เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเดินทาง ค่าเสียโอกาสในการทำงานของพ่อแม่และผู้ปกครอง
- ลดค่าใช้จ่ายรายเดือนของครอบครัวได้มากถึง 25.2% เนื่องจากไม่ต้องซื้อนมผง
อมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกภาคส่วนของประเทศไทย ตั้งแต่ รัฐบาล สังคม ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม รวมถึงครอบครัว จะเห็นความสำคัญของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ มาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกตั้งแต่ชั่วโมงแรกของชีวิตลูกกันเถอะค่ะ