AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกแรกเกิดมีตาขาวเป็นสีเหลือง ใช่อาการตัวเหลืองหรือไม่?

ลูกตาเหลือง …Q: ลูกแรกเกิด 7 วัน มองเห็นว่าตาขาวของลูกมีสีออกเหลือง เป็นอาการที่ผิดปกติหรือไม่ จะหายได้เองไหม หรือควรต้องรีบพาลูกไปพบแพทย์คะ?

แม่สงสัย? แรกเกิด ลูกตาเหลือง
ใช่อาการตัวเหลืองหรือไม่?

วิธีสังเกตอาการตัวเหลือง

การสังเกตอาการตัวเหลืองจากการดูด้วยตาต้องทำในห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอ โดยกดผิวหนังให้เลือดถูกไล่ออกไปจนเห็นสีผิวหนัง เวลาเหลืองจะไล่จากศีรษะจรดเท้าโดยไล่จากใบหน้า ลำตัว แขนขาฝ่ามือฝ่าเท้า

จากกรณีข้างต้น ของทารก อายุ 7 วัน หากผิวหนังส่วนอื่นไม่เหลือง เห็นเหลืองเฉพาะที่ตา แปลว่าเหลืองไม่มาก ประมาณ 2 มก./ดล.เท่านั้น ไม่ต้องกังวลค่ะ ไม่เป็นอันตราย จะหายได้เองภายใน 1 เดือน

แต่ถ้าดูเองไม่เป็นว่าผิวหนังส่วนอื่นเหลืองด้วยหรือไม่ แนะนำให้พาลูกไปพบแพทย์ค่ะ เพราะหากเหลืองมากแล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง สารเหลืองที่มากผิดปกติจะเป็นอันตรายกับสมอง ทำให้พัฒนาการช้าได้

อ่านต่อ >> “ทารกแรกเกิดตัวเหลืองเกิดจากอะไร?” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 


ทารกแรกเกิดตัวเหลืองเกิดจากอะไร?

ตัวเหลืองภายในสัปดาห์แรก เกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดสารสีเหลืองที่เรียกว่า บิลิรูบิน ซึ่งเป็นของเสีย ร่างกายต้องกำจัดออกทางตับ แต่ตับของทารกแรกเกิดยังทำงานไม่เต็มที่ กว่าจะเปิดสวิตช์ทำงาน ต้องสัปดาห์ที่ 2 เป็นต้นไป

โดยอาการเริ่มจากใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อน ก่อนลามไปส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น ลำตัว ท้อง แขน ขา และอาจมีสีเหลืองชัดขึ้นเมื่อใช้ปลายนิ้วกด รวมถึงมีอาการอื่น ๆ ที่สังเกตได้ ดังนี้

ทั้งนี้ ภาวะตัวเหลืองที่รุนแรงอาจแสดงถึงปัญหาสุขภาพหรือเป็นภาวะแทรกซ้อนจากการมีสารบิลิรูบินในเลือดมากเกินไปได้ ผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบแพทย์ทันที หากสังเกตพบอาการต่อไปนี้

เด็กบางคนเหลืองมากกว่าเด็กคนอื่น พบได้ในกรณี กรุ๊ปเลือดแม่กับลูกไม่เข้ากัน หรือเป็นพาหะของทาลัสซีเมีย หรือขาดเอนไซม์ G6PD หรือตับทำงานช้ากว่าชาวบ้านเขา เช่น ทารกคลอดก่อนกำหนด หรือ ทารกมีปัญหาติดเชื้อ

สาเหตุของเด็กตัวเหลือง

ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากระดับสารบิลิรูบินหรือสารสีเหลืองในเลือดที่สูงมากเกินไป โดยสารนี้เกิดขึ้นเมื่อเม็ดเลือดแดงซึ่งทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายแตกตัว ในภาวะปกติ บิลิรูบินในกระแสเลือดจะถูกส่งไปที่ตับและขับออกทางอุจจาระ แต่ในเด็กแรกเกิด ตับจะยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ทำให้ไม่สามารถกำจัดสารนี้ได้รวดเร็วพอ นอกจากนี้ภาวะเด็กตัวเหลืองอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ได้เช่นกัน มีดังนี้

อ่านต่อ >> “การรักษาหรือแก้ไขอาการตัวเหลือง” คลิกหน้า 3

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

การวินิจฉัยเด็กตัวเหลือง

โดยทั่วไปแพทย์จะตรวจร่างกายและตรวจหาภาวะตัวเหลืองภายใน 72 ชั่วโมง หลังเด็กคลอด โดยดูจากสีผิว สีของตาขาว สีเหงือก รวมถึงสีปัสสาวะหรืออุจจาระ หากสงสัยว่าเด็กอาจมีภาวะตัวเหลือง แพทย์จะตรวจวัดระดับบิลิรูบินในเลือด เพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องรับการรักษาหรือไม่ ซึ่งวิธีตรวจที่อาจนำมาใข้ มีดังนี้

ทั้งนี้ ภาวะตัวเหลืองอาจใช้เวลานานเป็นสัปดาห์กว่าอาการจะแสดงออกมา ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตอาการของทารก โดยตรวจดูสีของดวงตา หรือใช้นิ้วกดเบา ๆ บนปลายจมูกหรือหน้าผากเพื่อตรวจว่าผิวเป็นสีเหลืองหรือไม่ รวมถึงสังเกตสีของอุจจาระและปัสสาวะของทารก หากสงสัยว่าเด็กอาจมีภาวะตัวเหลือง ควรไปพบแพทย์ทันที

จะรักษาหรือแก้ไขอาการตัวเหลืองได้อย่างไร?

การขับสารเหลืองออกจากร่างกายทางหนึ่ง คือ การขับออกทางอุจจาระ หากใครตัวเหลืองแล้วได้กินนมแม่ จะทำให้อึบ่อย ตัวเหลืองจะลดลงได้เร็ว หากกินนมผง จะท้องผูก สารเหลืองจะขับออกได้ช้ากว่า หากกินน้ำ จะทำให้อิ่มน้ำ ไม่อยากกินนมแม่ ทำให้มีฉี่ออก แต่ไม่มีอึ จะไม่ช่วยลดค่าเหลืองค่ะ

วิธีการรักษาภาวะตัวเหลือง

ภายในสัปดาห์แรก เด็กครบกำหนด หากเหลืองเกิน 13, 17, 20 ภายใน วันแรก วันที่สอง และวันที่สามตามลำดับ จะรักษาโดยการถ่ายเลือดค่ะ เพราะเหลืองมากจะทำให้สารเหลืองซึมเข้าสู่สมอง มีผลทำให้สมองทำงานผิดปกติ เน้นอีกครั้งค่ะ กรณีเหล่านี้ เกิดจากการแตกของเม็ดเลือดแดงที่มากผิดปกติอย่างมาก เช่น กรุ๊ปเลือดหมู่เล็กไม่เข้ากัน (หมู่ Rh) หากระดับอยูที่ 8, 12, 15 ในวันที่ 1, 2 และ 3 หลังคลอด รักษาโดยการส่องไฟ หากต่ำกว่านั้น กลับบ้านไปตากแดดที่บ้านได้ และเน้นย้ำให้กินนมแม่ให้มากที่สุด ให้อึบ่อยที่สุด การเหลืองจะลดเร็วที่สุดค่ะ นอกจากนี้ ควรสังเกตเด็กแรกเกิดในช่วง 5 วันแรกหลังคลอดอย่างใกล้ชิด หากพบว่าเด็กมีอาการตัวเหลืองควรรีบพาไปพบแพทย์ทันที …อย่างไรก็ตามคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกท่านคะ ไม่มีอะไรต้องวิตกกังวล ถ้าเรารู้ในเรื่องนั้นๆ มากพอค่ะ

อ่าน “บทความดี ๆ น่าสนใจ” ได้ที่นี่!


บทความโดย: พญ. สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด
และข้อมูลจาก : www.pobpad.com