คุณพ่อคุณแม่หลายคนที่มีลูกน้อยเคยเป็นโรค “ไวรัสลงกระเพาะ” อาจสงสัยว่าถ้าเป็นแล้ว ลูกจะมีโอกาสกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่ หรือมีวัคซีนที่ช่วยป้องกันโรคไวรัสลงกระเพาะได้หรือไม่? มาดูคำตอบจากคุณหมอกันค่ะ
Q : ตอนนี้ลูกอายุจะ 1 ขวบแล้วค่ะ ตอนช่วง 7-8 เดือน เขาเคยท้องเสียและอาเจียนด้วย หมอบอกว่าเป็นไวรัสลงกระเพาะ แต่ช่วงนี้ลูกท้องเสียบ่อยอีก จะกลับมาเป็นโรคเดิมได้หรือไม่ และถ้าจะให้ลูกได้รับวัคซีนไวรัสโรต้าจะช่วยได้หรือไม่คะ
ในกรณีที่มีอาการอาเจียนหรือถ่ายเหลวรุนแรง ปวดท้องมาก หมอจะตรวจร่างกายอย่างละเอียด เพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคดูว่าอาจเป็นโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกันหรือไม่ เช่น โรคไส้ติ่งอักเสบ โรคลำไส้อุดตัน โรคลำไส้กลืนกัน โรคแพ้นมวัว เป็นต้น
บางครั้งการอาเจียนท้องเสียบ่อยๆ อาจเกิดจากการแพ้อาหารที่ลูกกิน เรียกว่าเป็นการแพ้แบบแอบแฝงหรือว่าแพ้สะสม โดยลูกเคยกินอาหารชนิดนั้นมาก่อน วันดีคืนดี วันร้ายคืนร้ายก็จะสำแดงอาการแพ้ออกมาเป็นอาการอาเจียน ท้องเสีย พอได้รับการรักษาตามอาการ อาการก็ดีขึ้น พอกลับไปกินอาหารที่แพ้อีกก็แสดงอาการผิดปกติได้อีก หากงดอาหารที่แพ้ได้ตลอดอาการก็จะหายไปไม่เป็นอีก ส่วนใหญ่อาการแพ้อาหารจะดีขึ้นเมื่อโตขึ้น
ส่วนโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ (viral gastroenteritis) ก็อาจมีโอกาสเป็นอีกได้ ถ้าหากได้รับเชื้อไวรัสคนละสายพันธุ์กับที่เคยเป็น เพราะมีเชื้อไวรัสหลายสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคนี้ โดยการติดต่อของเชื้อไวรัส เกิดจากการสัมผัสกับสารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ จากการคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยตรงหรือการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้ออยู่แล้วเอามือเข้าปาก โดยหลังการสัมผัสเชื้อโรคจนกระทั่งแสดงอาการอาจใช้เวลาสั้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงจนถึง 2 วัน
อาการของโรค
เริ่มจากอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือมีไข้สูงก็ได้ เบื่ออาหาร ถ่ายเหลวเป็นน้ำ อาจมีมูกแต่ไม่มีเลือด กลิ่นไม่เหม็นคาว ส่วนใหญ่มีอาการ 3 – 7 วัน แต่บางรายอาจนานถึง 2 สัปดาห์ ความรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับภูมิต้านทาน บางคนรุนแรงน้อย อาเจียนไม่กี่ครั้ง ให้ยากินระงับอาเจียนก็ดีขึ้น แต่บางคนต้องฉีดยาหรือนอนโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด
อ่านต่อ “สาเหตุของโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้ และวิธีดูแลลูก” คลิกหน้า 2
สาเหตุของโรค
เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งมีหลายสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรค เชื้อที่สำคัญและเป็นที่รู้จักกันมากและเป็นสาเหตุที่พบบ่อยในเด็กเล็ก คือ เชื้อไวรัสโรต้า ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโรต้าที่เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน ช่วยลดความเสี่ยงในการติดโรคหรือลดความรุนแรงลงได้ เริ่มให้ครั้งแรกได้ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์ แต่อย่างช้าไม่เกินอายุ 14 สัปดาห์ 6 วันและต้องได้รับวัคซีนครบทุกโด๊สเมื่ออายุไม่เกิน 8 เดือน หากเกินกว่านี้ยังไม่มีข้อมูลเรื่องความปลอดภัย กรณีนี้ลูกคุณแม่อายุ 1 ขวบแล้ว จึงรับวัคซีนโรต้าไม่ได้แล้วค่ะ นอกจากนี้ เด็กที่กินนมแม่จะมีภูมิต้านทานช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคได้ครอบคลุมหลายสายพันธุ์ ขณะที่วัคซีนโรต้าช่วยลดความรุนแรงเฉพาะกรณีที่เกิดจากเชื้อไวรัสโรต้าเท่านั้น
ทำอย่างไรเมื่อลูกป่วย
1. การดูแลเบื้องต้น คือ ให้ยาระงับอาการ เช่น ยาลดไข้ ยาแก้อาเจียน ยาแก้ปวดท้อง ยาขับลม
- ยาแก้อาเจียน คือ Domperidone หรือ Motilium ขนาดยาคือ ช้อนชา (2.5 ซีซี) ต่อน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัม กินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง วันละ 3 – 4 ครั้ง ไม่ควรกินยาแล้วกินอาหารทันทีเพราะอาจอาเจียนได้อีก เนื่องจากยายังไม่ได้ดูดซึมเข้าร่างกาย
- ยาแก้ปวดท้อง คือ Berclomine ให้ในรายที่มีอาการปวดเกร็งปวดบิด ขนาดยาเหมือนยาแก้อาเจียน แต่กินหลังอาหาร
- ยาขับลม คือ Simethicone แก้ท้องอืด ลดแก๊ส กินครั้งละ 0.5 – 1 ซีซี ทุก 2 – 4 ชั่วโมง
2. ให้อาหารอ่อนย่อยง่ายครั้งละน้อยๆ เช่น ข้าวต้มครั้งละ 5 – 6 คำแต่ให้บ่อยๆ ไม่เลี่ยนมัน หากลูกกินนมผสม ให้ชงนมจางกว่าปกติ ให้ดื่มครั้งละไม่เกินครึ่งหนึ่งของปริมาณปกติ เพื่อไม่ให้ลำไส้ทำงานหนัก
3. ให้จิบน้ำเกลือแร่ ORS จะได้ไม่มีอาการอ่อนเพลียจากการเสียสมดุลเกลือแร่ในร่างกาย ไม่ให้น้ำหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำเกลือแร่สำหรับผู้เสียเหงื่อจากการเล่นกีฬา เพราะน้ำตาลที่เข้มข้นมากเกินไปจะทำให้ท้องเสียมากขึ้น เนื่องจากน้ำตาลที่ระดับความเข้มข้นไม่เหมาะสมจะดึงน้ำออกจากเซลล์เยื่อบุลำไส้มากขึ้น
อ่านต่อ “วิธีดูแลลูกเมื่อป่วยด้วยโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้” คลิกหน้า 3
4. งดของแสลงเวลาที่ท้องเสีย จนกว่าอาการจะดีขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ไข่ นมวัว แล้วเปลี่ยนเป็นนมถั่วเหลืองหรือนมวัวสูตรพิเศษที่ไม่มีน้ำตาลแล็กโทส หากลูกไม่ยอมเปลี่ยนนม อาจลองชงนมเดิมที่กินอยู่ แต่ให้เจือจางกว่าปกติเท่าตัว (มักหายช้ากว่าเปลี่ยนเป็นนมที่ไม่มีน้ำตาลแล็กโทส)
สำหรับเด็กที่กินอาหารเสริมแล้ว หากชงนมผสมเจือจางแล้วยังมีอาการถ่ายเหลวไม่หยุด แต่ไม่ยอมกินนมถั่วเหลือง ให้เน้นกินข้าวต้มหรือโจ๊กใส่เนื้อสัตว์เล็กน้อย และน้ำข้าวต้มใส่เกลือเล็กน้อย แล้วงดนมวัวไปได้เลย เมื่ออาการดีขึ้นต้องค่อยๆ กลับไปกินอาหารตามปกติ อย่ารีบร้อนเปลี่ยนกลับทันที เพราะอาจกลับไปท้องเสียใหม่ได้ ในกรณีที่ลูกดูดนมแม่ สามารถให้ได้ตามปกติ ไม่ต้องงดค่ะ
5. คอยระวังก้นแดงจากการถ่ายบ่อย ต้องคอยเปลี่ยนผ้าอ้อมทันทีอย่าแช่นาน และควรพาไปล้างก้นด้วยน้ำธรรมดา ไม่ต้องอุ่นและไม่ต้องใช้สบู่ เพราะจะทำให้ผิวหนังแห้งเป็นผื่นง่าย อาจทาวาสลีนหรือปิโตรเลียมเจลเคลือบผิวบริเวณก้น เพื่อช่วยบรรเทาการระคายเคืองจากเศษอุจจาระ จะช่วยป้องกันไม่ให้ก้นแดงได้
6. ห้ามให้ยาหยุดถ่ายในเด็ก เพราะทำให้เชื้อโรคคั่งในร่างกายจนเป็นอันตรายหรือมีอาการปวดมวนท้องมากขึ้น
อาการไหน ควรพาลูกไปหาหมอ?
- ลูกยังอาเจียนอยู่ทั้งที่รับประทานทานยาแก้อาเจียนแล้ว
- ไม่อาเจียนแล้ว แต่รับประทานอาหารไม่ได้
- มีอาการซึม อ่อนเพลีย มีอาการของการขาดน้ำและปัสสาวะออกน้อย
- ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือด หรือกลิ่นแรงเหม็นคาว หรือถ่ายรุนแรงมากเป็นน้ำตลอดเวลา กรณีนี้ควรนำอุจจาระไปโรงพยาบาลด้วยเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการและเพาะเชื้อต่อไป
อ่านต่อ “การรักษา+การป้องกันโรคไวรัสลงกระเพาะและลำไส้” คลิกหน้า 4
การรักษา
- หมอจะฉีดยาแก้อาเจียนเข้ากล้ามเนื้อต้นขาหรือสะโพก สังเกตอาการประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วให้ลองจิบน้ำ ถ้าไม่มีอาเจียนอีกให้กลับไปดูอาการต่อที่บ้านได้ ยาฉีดจะออกฤทธิ์นาน 6 ชั่วโมง เมื่อใกล้หมดฤทธิ์ยาฉีด ให้ยาแก้อาเจียนกินต่อเนื่องอีกประมาณ 1 – 2 วัน แต่ถ้าฉีดยาแล้วยังมีอาเจียนอีก หรือไม่อาเจียนแล้วแต่ไม่ยอมกินอะไรเลย หมอจะรับตัวไว้ในโรงพยาบาลแล้วให้น้ำเกลือทางเส้นเลือดเพื่อแก้ไขภาวะขาดน้ำ และพลังงาน
- หมอจะตรวจปัสสาวะเพื่อประเมินภาวะขาดน้ำและพลังงาน หากพบว่ามีภาวะขาดน้ำและพลังงานขั้นรุนแรงจะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล
- หมออาจสั่งยา Infloran ซึ่งเป็นเชื้อ lactobacilli ช่วยปรับสภาพลำไส้ในกรณีที่มีภาวะท้องเสียเรื้อรังเนื่องจากการดูดซึมบกพร่อง
การป้องกัน
- ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบอาหารเข้าปาก
- กินแต่อาหารที่ปรุงสุก ไม่มีแมลงวันตอม
- หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดหรือสัมผัสสารคัดหลั่งจากผู้เป็นโรค และล้างมือทุกครั้งหลังสัมผัสโรค
- ในปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันไวรัสโรต้าซึ่งเป็นสาเหตุที่พบบ่อยของโรคนี้ในเด็กเล็ก เป็นวัคซีนชนิดรับประทาน
- ให้ลูกดื่มนมแม่ เพราะในนมแม่มีสารต้านไวรัสและแบคทีเรียรวมถึงลดโอกาสการปนเปื้อนจากภาชนะที่ไม่สะอาด
เรื่อง : พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด
ภาพ : Shutterstock