AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

คู่มือพ่อแม่ควรรู้ ทำอย่างไรเมื่อ “ลูกมีไข้”

ทำอย่างไรเมื่อลูกมีไข้

ลูกมีไข้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ใช้ยาตัวไหน และต้องมีอาการแบบไหนถึงควรพาลูกส่งโรงพยาบาล ที่นี่มีคำตอบ!

 

 

ลูกมีไข้ เมื่อไร ทำเอาพ่อแม่อย่างเราเครียด กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่มือใหม่ที่อาจจะยังไม่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านี้มาก่อน อาจจะยังไม่รู้ว่าเวลา ลูกมีไข้ ไม่สบายแล้วไข้สูงนั้นควรที่จะต้องทำอย่างไร เช็ดตัวแบบไหน แล้วอาการแบบไหนที่ควรนำพาลูกส่งโรงพยาบาล ซื้อยาทานเองได้หรือไม่ ทีมงาน Amarin Baby and Kids ได้รวบรวมข้อมูลทุกอย่างเอาไว้ให้หมดแล้วละค่ะ แต่ก่อนที่จะไปดูนั้นเรามาทำความรู้จักกับ “ไข้” กันก่อนดีกว่านะคะ

ไข้ หมายถึง ภาวะที่อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงผิดปกติ โดยค่าปกติของอุณหภูมิที่วัดทางทวารคือ 36.6 – 38 องศาเซลเซียส วัดทางปาก 35.5  – 37.5 องศาเซลเซียส วัดทางรักแร้ 34.7 – 37.3 องศาเซลเซียส และวัดทางหู 35.8 – 38.0 องศาเซลเซียส

ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นเชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือปรสิต แต่ก็อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้อีกหลายอย่างด้วยเช่นกันนะคะ ไม่ว่าจะเป็น อากาศที่ร้อนมาก ๆ หรือสวมเสื้อหลายชั้นเกินไป การแพ้ยา เนื้องอกในสมองกดเบียดส่วนที่ควบคุมอุณหภูมิร่างกายจนทำงานผิดปกติ โรคไทรอยด์เป็นพิษ และฟันขึ้น เป็นต้น

วัดไข้วัดแบบไหนถึงจะดี

วิธีการวัดไข้ ที่มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับมี 4 วิธี คือ ทางปาก (เฉพาะเด็กโตที่ร่วมมือโดยการอมไว้ใต้ลิ้น ในเด็กเล็กทำไม่ได้เพราะอาจเสี่ยงกับการกัดปรอทแตก) ทางทวาร (ในเด็กเล็ก) ทางรักแร้ และทางหู

ส่วนปรอทนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทดังนี้

  1. แบบปรอท ราคาถูก แต่ใช้เวลานานในการวัด เนื่องจากเป็นแก้วอาจจะต้องระมัดระวังการแตกหักได้
  2. แบบดิจิทัล ใช้เวลาวัด 10 – 60 วินาที แต่มีราคาแพงกว่า และต้องคอยเช็คและระวังเรื่องแบตเตอรี่ค่ะ หากแบตใกล้หมดความแม่นยำก็อาจจะลดน้อยลงไปด้วย
  3. แบบวัดทางหู มีราคาแพงที่สุด ใช้ในเด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไป เด็กเล็กกว่านี้ไม่ใช้เพราะรูหูเล็กเกินไป ใช้เวลาเพียง 1 – 3 วินาที แต่ถ้ามีขี้หูอุดตันจะไม่แม่นยำ
  4. แบบแปะหน้าผาก อันนี้ก็สามารถวัดได้ค่ะ แต่ก็อาจจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้บ้างเช่นกัน

 

หากคุณพ่อคุณแม่วัดไข้แล้วพบว่า ลูกมีไข้ จริงละก็ แนะนำให้เริ่มต้นทำให้ลูกไข้ลดก่อนเลยค่ะ ซึ่งเป้าหมายของการลดไข้ คือ ช่วยให้ลูกสบายตัวขึ้น ลดอาการปวดหัว ปวดตัว งอแงน้อยลง นอนหลับพักผ่อนได้ และป้องกันไม่ให้เกิดภาวะชักจากไข้สูงในรายที่มีความเสี่ยง โดยวิธีลดไข้ที่ว่านี้ ก็มีหลากหลายวิธีด้วยกัน จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลยค่ะ

วิธีลดไข้ทำได้ดังนี้

1.ใช้ยาลดไข้ ซึ่งมีด้วยกัน 3 ประเภท คือ

หมายเหตุ: การซื้อยามาให้ลูกรับประทานเอง อาจจะถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เพราะเราไม่มีโอกาสทราบเลยว่าที่ ลูกมีไข้ ไม่สบายอยู่ตอนนี้นั้น เป็นโรคอะไรแน่ หากซื้อยาไป แล้วยิ่งไปส่งกระทบกับร่างกายละก็ อาจจะทำให้อาการของลูกยิ่งแย่มากขึ้นไปอีกได้ค่ะ

2.การปรับอุณหภูมิห้อง ควรปรับให้พอเย็นสบาย และมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์ แต่หากเปิด ก็ไม่ควรให้เย็นจนหนาวสั่น ใส่เสื้อผ้าที่ระบายความร้อนออกได้ง่ายไม่ห่มผ้าหนา ๆ นะคะ เพราะหากห่มผ้าหนาเกินไปแล้วทำให้เหงื่อยิ่งออก ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงได้ว่า ลูกอาจจะยิ่งมีไข้สูงมากขึ้นจนเกิดอาการชักได้ ที่สำคัญให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะเวลาที่ร่างกายขาดน้ำจะยิ่งส่งผลทำให้ไข้สูงมากขึ้น

วิะีลดไข้เมื่อลูกมีไข้

3. การเช็ดตัว ให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ผ้าชุบน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเล็กน้อย ห้ามใช้น้ำเย็นหรือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เส้นเลือดฝอยที่ผิวหนังหดตัว ระบายความร้อนออกไม่ได้ มีอาการหนาวสั่นและไข้สูงมากขึ้น

หมายเหตุ: การวางผ้าเย็นหรือเจลลดความร้อนบริเวณหน้าผากไม่ได้ช่วยให้ไข้ลดลงมาก เนื่องจากเจลช่วยดูดซับความร้อนเฉพาะตำแหน่งที่วางเจลหรือผ้าเย็น ไม่สามารถดึงความร้อนทั้งหมดออกจากร่างกาย แต่มีประโยชน์ช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะจากไข้ได้

 

วลา ลูกมีไข้ จะรู้ได้อย่างไรว่า อาการแบบไหนถึงควรพาลูกไปหาหมอนั้น คุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ ได้ให้คำแนะนำไว้ ว่า เมื่อไรก็ตามที่ ลูกมีไข้ และมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นร่วมด้วย อย่ารอช้า ให้รีบนำตัวลูกส่งโรงพยาบาลโดยทันที

15 อาการอันตรายยาม ลูกมึไข้

  1. หากลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่มีไข้ และเป็นเด็กที่มีอายุน้อยกว่า 3 เดือน อย่าชะล่าใจนะคะ เนื่องจากลูกยังเล็ก อาจจะทำให้สังเกตอาการได้ยาก การพาลูกไปหาหมอ เพื่อเข้ารับการตรวจนั้นดีที่สุดเลยละค่ะ เพราะถ้าหากคุณหมอวินิจฉัยแล้วว่า ลูกมีไข้ หรือไม่สบายเนื่องจากได้รับเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัสตัวใด รู้ทัน โอกาสที่ลูกจะหายไวและปลอดภัยก็มีมากขึ้น
  2. ลูกมีไข้ สูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ถือเป็นหนึ่งในอาการน่าเป็นห่วง เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะทำให้ลูกชัก หรือลูกอาจเป็นโรคร้ายแรงได้
  3. ลูกกินอาหาร หรือนมได้น้อยกว่าปกติ
  4. ลูกมีอาการอาเจียน และถ่ายเหลว
  5. มีไข้นานกว่า 24 ชั่วโมงในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ขวบ หรือนานกว่า 72 ชั่วโมงในเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบ
  6. ร้องไห้ต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง
  7. กระสับกระส่าย ซึมมาก ปลุกไม่ตื่น
  8. มีผื่นสีม่วงหรือแดงเป็นจุด หรือมีจ้ำเลือดขึ้นตามตัว
  9. ริมฝีปาก ลิ้น เล็บ มีสีคล้ำซึ่งแสดงถึงภาวะระบบไหลเวียนหรือการหายใจล้มเหลว
  10. กระหม่อมโป่ง หรือยุบผิดปกติ ซึ่งแสดงถึงการติดเชื้อที่สมองหรือมีภาวะขาดน้ำรุนแรง
  11. คอแข็ง หรือปวดศีรษะมาก อาจเป็นอาการของเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
  12. ขาอ่อนแรง อาจเป็นอาการของโปลิโอ
  13. ลูกเริ่มหายใจลำบาก อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าลูกกำลังมีปัญหาด้านการหายใจ
  14. ต้องนั่งโน้มตัวไปด้านหน้าและมีน้ำลายไหลตลอดเวลา อาจเป็นอาการของโรคฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
  15. มีอาการชัก เพื่อหาสาเหตุและป้องกันไม่ให้ชักรุนแรงจนสมองบวม

ขอบคุณที่มา: แพทย์หญิงสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด

อ่านต่อบทความอื่นที่น่าสนใจ:

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids