AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

พ่อที่ดีของลูก คุณเองก็เป็นได้ ง่ายๆตามหลัก 5 ข้อ!

การเลี้ยงดูลูกของพ่อส่งผลต่อการพัฒนาของลูกอย่างมาก แต่พ่อมักถูกวางบทบาทให้เป็นผู้นำหาเลี้ยงครอบครัว ส่วนแม่คือคนที่เลี้ยงดูลูก ซึ่งจริงๆ แล้วการจะเป็น พ่อที่ดีของลูก เพียงทำกิจกรรมของพ่อร่วมกันกับลูกตั้งแต่เล็ก จะช่วยให้เด็กเติบโตอย่างสมวัยทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถผ่านพ้นและแก้ปัญหาแต่ละช่วงวัยได้เหมาะสม

พ่อที่ดีของลูก ควรเป็นอย่างไร?

เนื่องจากลูกอายุ 1 – 3 ขวบ ถือเป็นช่วงที่มีความสำคัญในด้านความรัก ความอบอุ่น ขณะที่ช่วง 3 – 5 ขวบ เป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ พ่อจึงเป็นแบบอย่างสำหรับลูกในการพัฒนาเติบโตสู่ช่วงวัยรุ่น การเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อ ที่เป็นได้ทั้งพ่อและเพื่อนให้กับลูก ย่อมทำให้ลูกเกิดความไว้วางใจ เมื่อมีปัญหาก็จะมาปรึกษา ความรัก ความผูกพันในครอบครัวจึงเป็นรากฐานสำคัญของความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและความรู้สึกมีคุณค่า  เด็กทุกคนไม่ว่าหญิงหรือชาย มักจะเป็นที่ยอมรับกันว่า พ่อ คือ ต้นแบบในการแสดงความเป็นเพศชายในลูกชาย และเป็นต้นแบบให้ลูกสาวเรียนรู้จากพ่อในการปรับตัวเข้ากับเพศตรงข้ามได้ดี

การเป็นพ่อที่ดีต้องมีหลักสังคมวิทยา และจิตวิทยาในการเข้าใจลูก ที่สำคัญควรทำตั้งแต่ลูกยังเล็ก โดยเฉพาะช่วง 1-3 ขวบ เพราะช่วงนี้มีความสำคัญมากในด้านความรัก ความอบอุ่น จริงอยู่ การเป็นพ่อที่ดีไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทั้งนี้ในคัมภีร์ไบเบิลมีคำแนะนำที่ช่วยได้ ซึ่งมีคุณพ่อหลายคนพบว่าเขากับครอบครัวได้ประโยชน์เมื่อทำตามคำแนะนำเหล่านั้น แล้วคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งช่วยให้คุณเป็นพ่อที่ดีได้ได้อย่างไร ไปดูกันค่ะ

1. ให้เวลากับครอบครัว

ในฐานะพ่อ คุณจะแสดงให้ลูกเห็นได้อย่างไรว่าพวกเขามีความสำคัญต่อคุณ? แน่นอนว่ามีหลายสิ่งที่คุณจะทำเพื่อลูกได้ รวมถึงการทำงานหนักเพื่อจัดหาอาหารและที่อยู่อาศัยให้พวกเขา. คุณคงไม่ทำอย่างนั้น ถ้าลูกๆไม่มีความหมายต่อคุณ. แต่ถ้าคุณไม่ให้เวลากับลูกมากพอ พวกเขาอาจคิดว่าคุณสนใจสิ่งอื่นมากกว่าตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นงานอาชีพ เพื่อนฝูง หรืองานอดิเรก

พ่อควรเริ่มให้เวลากับลูกตั้งแต่เมื่อไร? ผู้เป็นแม่เริ่มสร้างสายสัมพันธ์กับลูกตั้งแต่ตอนที่ลูกอยู่ในท้อง. ประมาณ 16 สัปดาห์หลังจากปฏิสนธิ ทารกในครรภ์จะเริ่มได้ยินเสียง. พ่อสามารถสร้างความผูกพันกับลูกน้อยได้ตั้งแต่ตอนนี้. พ่ออาจฟังเสียงเต้นของหัวใจ สัมผัสแรงเตะ พูดคุย และร้องเพลงให้ลูกฟัง

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ผู้ชายมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการสอนลูก. ข้อคัมภีร์หลายข้อในคัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนให้พ่อใช้เวลากับลูกเป็นประจำ เช่น พระบัญญัติ 6:6, 7 กล่าวว่า “ถ้อยคำเหล่านี้, ซึ่งเราสั่งไว้แก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้, ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย และจงอุตส่าห์สั่งสอนบุตรทั้งหลายของเจ้าด้วยถ้อยคำเหล่านี้, และเมื่อเจ้าทั้งหลายจะนั่งอยู่ในเรือน หรือเดินในหนทาง, หรือนอนลง, และตื่นขึ้น”

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง เฉลยธรรมบัญญัติ 6:6, 7
ให้สิ่งที่ผมสั่งคุณในวันนี้อยู่ในหัวใจของคุณ
ให้พร่ำสอนลูก ๆ ด้วยคำสอนนี้เมื่อคุณนั่งอยู่ในบ้าน เดินบนถนน นอนลงและลุกขึ้น

 

2. พ่อที่ดีต้องเป็นผู้ฟังที่ดี

ฟังลูกพูดอย่างใจเย็นโดยไม่ด่วนสรุป เพื่อจะสื่อสารกับลูกได้ดี คุณต้องตั้งใจฟัง. คุณต้องฝึกที่จะฟังโดยไม่แสดงปฏิกิริยามากเกินไป

ถ้าลูกคิดว่าคุณเป็นคนที่อารมณ์เสียง่ายและชอบตัดสินก่อนจะฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาคงไม่อยากเปิดเผยความในใจกับคุณ. แต่ถ้าคุณฟังเขาอย่างใจเย็น คุณจะแสดงให้ลูกเห็นว่าคุณสนใจเขาจริงๆ จากที่ไม่อยากเล่าอะไรให้คุณฟังก็จะเปลี่ยนเป็นอยากพูดอยากบอกให้คุณรู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกเช่นไร  ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่ายิ่งสำหรับคุณ

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: คำแนะนำที่สุขุมในคัมภีร์ไบเบิลได้รับการพิสูจน์แล้วว่านำมาใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน. ตัวอย่างเช่น คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ทุกคนต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (ยาโกโบ 1:19) พ่อที่ทำตามคำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิลจะสื่อสารกับลูกได้ดีกว่า

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง ยากอบ 1:19
19 พี่น้องที่รัก จำไว้ว่า ทุกคนต้องไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ

 

3. อบรมสั่งสอนด้วยความรักและการชมเชย

แม้แต่เมื่อคุณรู้สึกหงุดหงิดหรือโกรธ คุณควรสอนลูกด้วยความรักและให้เขารู้ว่าที่คุณทำเช่นนั้นก็เพื่อประโยชน์ของเขาเองในวันข้างหน้า  การอบรมสั่งสอนรวมถึงการให้คำแนะนำ ตักเตือนว่ากล่าว ให้ความรู้ และลงโทษเมื่อจำเป็น

นอกจากนั้น การอบรมสั่งสอนจะได้ผลดีกว่าถ้าพ่อชมเชยลูกเป็นประจำ  สุภาษิตโบราณกล่าวว่า “คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเปรียบเหมือนผลแอปเปิลทำด้วยทองคำใส่ไว้ในกระเช้าเงิน” (สุภาษิต 25:11) การชมเชยช่วยให้เด็กมีกำลังใจที่จะพัฒนาคุณลักษณะที่ดีงามต่างๆ  เด็กจะมีความมั่นใจมากขึ้นเมื่อรู้ว่าพ่อแม่มองเห็นสิ่งดีๆในตัวเขาและถือว่าเขามีค่า  พ่อที่หาโอกาสชมเชยลูกเสมอจะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกและกระตุ้นเขาให้พยายามทำสิ่งที่ถูกต้องต่อๆไป

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “บิดาทั้งหลาย อย่ายั่วบุตรให้ขุ่นเคือง พวกเขาจะได้ไม่ท้อใจ”—โกโลซาย 3:21

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง สุภาษิต 25:11
11 คำพูดที่เหมาะกับกาลเทศะเป็นเหมือนแอปเปิลทองคำในชามเงินแกะสลัก

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง โคโลสี 3:21
21 คนที่เป็นพ่อ อย่ายั่วลูกให้โกรธ ลูกจะได้ไม่ท้อใจ

 

4. รักและให้เกียรติภรรยาของคุณ

วิธีที่พ่อทำหน้าที่ประมุขครอบครัวย่อมส่งผลต่อลูก  ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งที่ศึกษาเรื่องพัฒนาการของเด็กอธิบายว่า “สิ่งดีที่สุดอย่างหนึ่งที่พ่อสามารถทำเพื่อลูกได้คือ ให้ความนับถือต่อผู้ที่เป็นแม่ของลูก. . . . ถ้าพ่อแม่มีความนับถือต่อกันและแสดงให้ลูกเห็น ลูกก็จะเติบโตเป็นเด็กที่มีความสุขและมั่นใจในความรักของพ่อแม่”—บทบาทของพ่อต่อพัฒนาการที่ดีของลูก

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “สามีทั้งหลาย จงรักภรรยาเสมอ . . . ให้พวกท่านแต่ละคนรักภรรยาเหมือนรักตัวเอง.”—เอเฟโซส์ 5:25, 33

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง เอเฟซัส 5:25
25 ส่วนสามี ก็ให้รักภรรยาเสมอเหมือนที่พระคริสต์รักประชาคมและสละชีวิตเพื่อพวกเขา

 

5. ทำตามคำแนะนำที่สุขุมของพระเจ้า

พ่อที่รักพระเจ้าอย่างจริงใจสามารถให้มรดกอันล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งแก่ลูก นั่นคือสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระบิดาในสวรรค์

อันโตนโย พยานพระยะโฮวาที่พยายามเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ถึงหกคนได้รับจดหมายสั้นๆจากลูกสาวคนหนึ่งซึ่งเขียนว่า “พ่อคะ หนูอยากขอบคุณที่พ่อสอนให้หนูรักพระยะโฮวาพระเจ้า รักเพื่อนบ้าน และรักตัวเอง. สิ่งที่พ่อสอนทำให้หนูเติบโตขึ้นเป็นคนดี. พ่อทำให้หนูเห็นว่าพ่อรักพระยะโฮวาและรักหนูจริงๆ. ขอบคุณมากนะคะที่พ่อให้พระยะโฮวามาเป็นอันดับแรกในชีวิตของพ่อและปฏิบัติต่อลูกทุกคนเหมือนเป็นของขวัญจากพระเจ้า!”

คำแนะนำในคัมภีร์ไบเบิล: “เจ้าจงรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจ, สุดจิตต์ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า และถ้อยคำเหล่านี้, ซึ่งเราสั่งไว้แก่เจ้าทั้งหลายในวันนี้, ก็ให้ตั้งอยู่ในใจของเจ้าทั้งหลาย.”—พระบัญญัติ 6:5, 6

นอกจากห้าข้อที่กล่าวมาแล้ว การเป็นพ่อที่ดียังเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆอีกหลายอย่างและต้องยอมรับความจริงว่า แม้คุณจะพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว คุณก็ไม่อาจเป็นพ่อที่สมบูรณ์แบบได้. แต่ถ้าคุณแสดงความรักต่อลูกและพยายามดูแลเขาให้ดีที่สุด คุณจะเป็นพ่อที่ดีได้ อย่างแน่นอน.

ข้อคัมภีร์ที่อ้างถึงเฉลย ธรรมบัญญัติ 6:5, 6
5ให้รักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณสุดหัวใจ สุดชีวิต และสุดกำลัง 6  ให้สิ่งที่ผมสั่งคุณในวันนี้อยู่ในหัวใจของคุณ

อ่านต่อ >> “หน้าที่ของพ่อที่ควรปฏิบัติ เพื่อครอบครัว” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

“ พ่อที่ดีของลูก ต้องปฏิบัติหรือเลี้ยงดูลูกให้ดีตั้งแต่เกิด พ่อต้องทำตัวให้ลูกไว้วางใจ เชื่อมั่น และรักใคร่ ยิ่งเล็กเท่าไรยิ่งต้องใส่ใจ เพราะเป็นช่วงสำคัญของการพัฒนาอารมณ์และทางกายที่จะอยู่กับลูกตลอดชีวิต

ที่สำคัญบทบาทของคนเป็นพ่อไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผู้เป็นแม่เลย หลายคนมองข้ามความสำคัญของพ่อไป แต่ที่จริงแล้ว พ่อให้ความรู้สึกที่สมหวังและพึงใจได้มากมาย พ่อมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของเด็กแรกเกิดอย่างที่เรานึกไม่ถึง พ่อควรจะมีบทบาทในการเลี้ยงลูกโดยตรงมากขึ้น โดยไม่ใช่มีหน้าที่เพียง “หาเงิน” มาซื้อนมให้ลูกกินเพียงอย่างเดียว ปล่อยให้ภาระการเลี้ยงลูกอ่อนเป็นของแม่

การที่พ่อสัมผัสถูกเนื้อต้องตัวลูกอย่างรักใคร่ทะนุถนอม  มักจะช่วยให้ลูกมีความรู้สึกผูกพันกับพ่ออย่างลึกซึ้งเมื่อโตขึ้น และไม่ควรมีเหตุผลหรือข้ออ้างใด ๆ ที่พ่อจะเอาใจใส่ และเลี้ยงลูกอย่างที่แม่ทำไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ พ่อและแม่ต่างก็หาเงินมาเลี้ยงลูกด้วยกัน ทั้งสองคนก็น่าจะช่วยกันเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน ดูแลทุกข์สุขให้กับลูกเท่า ๆ กัน

หน้าที่ของพ่อที่ควรปฏิบัติมีดังนี้

1. ช่วยภรรยาเลี้ยงลูก

ในอดีตภาระหน้าที่การเลี้ยงดูลูกเป็นความรับผิดชอบของแม่แต่เพียงผู้เดียว แต่ปัจจุบันเมื่อสังคมเปลี่ยนไป แม่มิได้ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านเท่านั้น แต่ยังเป็นหญิงทำงานอีกด้วย พ่อจึงต้องแสดงบทบาทของความเป็นพ่อในการดูแลและพัฒนาลูกไปพร้อม ๆ กับแม่ คุณพ่อยุคใหม่จึงต้องชงนม ป้อนข้าว ป้อนน้ำ อาบน้ำ เปลี่ยนผ้าอ้อม กล่อมลูกนอน เล่นกับลูกได้

2. อบรมสั่งสอนลูก

โดยความเป็นเพศชายพ่อโดยทั่วไปคือตัวแทนของอำนาจในบ้าน มีลักษณะเด็ดขาด จึงเป็นบุคคลที่จะสร้างวินัยแก่ลูกได้ดีที่สุด และคอยดูแลให้ลูกปฏิบัติตามกฎอย่างสม่ำเสมอ เมื่อลูกเติบโตขึ้น เขาจะเป็นคนที่มีวินัย สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ดี การอบรมสั่งสอนของพ่อที่ดีที่สุดคือพ่อต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น เพราะเด็ก ๆ นั้นจะไม่ทำตามที่ผู้ใหญ่พูด แต่จะทำตามตัวอย่างที่เห็นนั่นเอง

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

3. เป็นหลักประกันความมั่นคงปลอดภัย

ด้วยสรีระของพ่อที่แข็งแรง ลูก ๆ จะรู้สึกว่า มีผู้ที่มีความสามารถเก่งกล้าอยู่ในบ้าน ทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองป้องกันภัยอันตราย ทำให้ลูกมีความอบอุ่นมั่นคง

4. เป็นหัวหน้าครอบครัว

พ่อมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบเลี้ยงดูภรรยาและลูกให้มีความสุขตามอัตภาพ พ่อจึงต้องขวนขวายทำงานหารายได้ไว้จับจ่ายใช้สอยในครอบครัวและยามฉุกเฉิน

5. เป็นผู้สร้างความเข้มแข็งในจิตใจของลูก

หากลูกได้มีเวลาได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อ ได้รับการกอดสัมผัสจากพ่อตั้งแต่วัยเยาว์ ลูกจะมีความรู้สึกประทับใจในตัวพ่อ และยึดพ่อไว้เป็นแกน แต่ถ้าชีวิตของพ่อขาดแก่นสาร ขาดความเป็นผู้นำ ไม่มั่นคง ครอบครัวก็ระส่ำระสายรวนเร จิตใจของลูกก็ขาดที่ยึดเหนี่ยว จึงอ่อนแอและเปราะบางง่าย

6. เป็นแบบอย่างของความเป็นชาย

ให้ลูกได้ลอกเลียนแบบในช่วงอายุ 3 – 6 ปีในการเลียนแบบความเป็นชายพัฒนามาจากการที่เด็กชายได้สัมผัสใกล้ชิดกับพ่อ เห็นบทบาทความเป็นชายของพ่อที่ถูกต้อง เด็กชายจะเกิดการอยากเอาอย่างพ่อ มีความประพฤติทางเพศที่เหมาะสม ดังนั้นพ่อจึงต้องให้ความเป็นเพื่อน เป็นที่พึ่งพาของลูกชาย

ถ้าพ่อกับลูกชายห่างเหินกัน ขาดความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ชอบดุด่าเฆี่ยนตี อีกทั้งไม่เอาใจใส่รับผิดชอบครอบครัว ก็จะทำให้ลูกชายไม่ศรัทธาในตัวพ่อ ไม่อยากเอาอย่างพ่อ เติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกเกลียดพ่อ รักแม่เลียนแบบแม่ จึงมีความประพฤติทางเพศที่ไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมบางอย่างคล้ายผู้หญิง หรือมีพฤติกรรมรักร่วมเพศ

ในขณะเดียวกัน พ่อก็เป็นผู้สร้างทัศนคติที่ดีต่อผู้ชายให้กับลูกสาวด้วย โดยพัฒนาจากความสัมพันธ์ที่ดี ความอบอุ่นที่ได้รับจากพ่อ เมื่อโตขึ้น ลูกสาวจะไม่นึกรังเกียจเพศตรงข้ามที่จะมาแต่งงานด้วย แต่ถ้าพ่อห่างเหินลูกสาว และมีลักษณะก้าวร้าวทารุณต่อแม่และลูกสาว เมื่อโตขึ้น ลูกสาวอาจเกลียดผู้ชาย และกลัวการแต่งงานได้


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : www.islammore.com , www.jw.org