จะเป็นแม่ทั้งที ก็ต้องเป็น แม่ที่ดี ให้ได้! …แต่บทบาทและหน้าที่ของความเป็น “แม่” ที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการเป็นแม่ที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การเลี้ยงดูลูกด้วยการให้นมป้อนข้าวป้อนน้ำให้ลูกเติบโตทางด้านร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงการดูแลให้ลูกเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีคุณภาพครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาและจิตใจด้วย ซึ่งลูกจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นก็ต้องมาจากการเลี้ยงดูจากแม่ที่ดีนั่นเอง
แม่ที่ดี ควรเป็นอย่างไร?
แม่ คือ ผู้ที่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ผู้ให้ความรัก ความอบอุ่นและความเมตตาต่อลูกเสมอ นับตั้งแต่เกิดจนโต ซึ่งเชื่อว่าคุณผู้หญิงที่ได้เป็นแม่ แต่ละคนก็จะมีบุคลิก และการเลี้ยงดูลูกของตนแตกต่างกันออกไป แล้วคุณจะเป็นแม่แบบไหน Amarin Baby & Kids มี “แม่” ในแบบต่างๆ มาให้อ่านกัน ข้อมูลอ้างอิงโดยกลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม ไปลองเทียบกันดูค่ะว่า ตัวของคุณ หรือ ความเป็นแม่ของคุณ นั้นเป็นประเภทไหน หรือแบบใด ดังต่อไปนี้
♥ แม่มือใหม่ (หัดเลี้ยง)
คุณแม่ประเภทนี้ คือ คุณแม่คนใหม่ ที่เพิ่งมีลูกเป็นคนแรก ดังนั้น จึงยังไม่คล่อง ทำอะไรไม่ค่อยถูก ต้องคอยไปซักไปถามแม่ตัว (ย่า-ยาย) หรือแม่อื่นๆที่มีลูกมาก่อน บ้างก็เปิดตำราเลี้ยงลูก หากลูกมีอะไรผิดแปลกไปนิด ก็จะวิตกกังวล กินไม่ได้ นอนไม่หลับ แม่มือใหม่ที่ลูกยังเล็กอยู่ ส่วนใหญ่จึงน้ำหนักลดได้เร็ว เพราะอดหลับอดนอน หน้าตาอิดโรย ขอบตาดำคล้ำ ขณะเดียวกันหลายคน หากเป็นแม่หัวสมัยใหม่ ก็มักต้องโต้เถียงกับคนเคยเป็นแม่มาก่อนทั้งหลายในเรื่องการเลี้ยงเด็ก เช่น เมื่อเด็กปวดท้อง คุณแม่มือใหม่อาจพาไปหาหมอทันที แต่คุณแม่ คุณย่า-ยาย อาจจะบอกให้ทาแค่มหาหิงค์ (คล้ายยาหม่องน้ำ) บริเวณสะดือเด็ก ก็หายปวดแล้ว เป็นต้น
♥ แม่ยอดกตัญญู
เขาบอกว่าคุณแม่ประเภทนี้ ลูกบังเกิดเกล้าใช้หรือขอให้ทำอะไรให้ คุณแม่ยอมทำให้หมด บางครั้งลูกยังไม่ทันเอ่ยปาก แม่ก็รีบอาสาทำให้แล้ว ด้วยความรักลูก กลัวลูกลำบาก หรือเสียใจ โดยเฉพาะกับลูกชาย คุณแม่หลายๆคนจะรักแบบทูนหัวทูนเกล้า จนลูกสาวน้อยอกน้อยใจ แต่ถ้าเป็นลูกคนเดียว แม่ก็มักจะตามอกตามใจจนเคยตัว พอไม่ได้ดั่งใจก็จะโกรธ จะงอนแม่ จนแม่ยอดกตัญญูต้องเอาใจ และรีบทำให้ แม่กลุ่มนี้มีไม่น้อย ซึ่งจริงๆแล้ว ควรสอนให้ลูกรู้จักช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นบ้าง หากตามใจจนเคย จะกลายเป็นคนเอาแต่ใจตัว เป็นที่รังเกียจของญาติโยม เพื่อนฝูง เพราะคนนอก คงไม่มีใครรักลูก หรือเห็นลูกเราน่ารักเหมือนตัวเราผู้เป็นแม่แน่นอน
♥ แม่มากบารมี
คุณแม่ประเภทนี้ มักมีเงินถุงเงินถัง สามารถบริจาคทรัพย์หรือหาเงินให้สถานศึกษาของลูกได้มาก ทำให้เกิดความเกรงอกเกรงใจมาถึงลูก หรือไม่บางคน ตนเองหรือสามีก็มีตำแหน่งใหญ่โต มีอิทธิพล บารมีก็แผ่มาถึงลูกให้ได้รับอานิสงส์ไปด้วย ไม่ว่าจะในสถาบันการศึกษา หรือสถานที่ที่ทำงาน คุณแม่กลุ่มนี้หลายคนก็น่ารัก น่าเคารพ ทำให้ลูกยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ และหลายสถานที่ก็อยากได้ลูกของคุณแม่กลุ่มนี้ไปเรียน หรือทำงานด้วย เพราะทำให้โรงเรียนหรือหน่วยงานมีชื่อ เป็นที่รู้จักไปด้วย แต่คุณแม่มากบารมี ควรจะสอนลูก อย่าอวดเบ่ง อวดดี อาศัยบารมีแม่มากเกินไป เพราะจะทำให้เป็นที่หมั่นไส้ ไม่มีใครอยากคบเป็นเพื่อน หรือได้เพื่อนก็ได้ประเภทไม่จริงใจ เพราะหวังเกาะบารมีของเรา และข้อสำคัญ คุณแม่เอง ก็อย่าใช้บารมีของตนไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควรด้วย
อ่านต่อ >> เทียบตัวตน “แม่” ในแบบต่างๆ เพื่อดูว่าคุณเป็นแม่แบบไหน? คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
♥ แม่แล้วแต่พ่อ
คุณแม่กลุ่มนี้ มักจะเป็นแม่แบบโบราณ เป็นช้างเท้าหลัง ไมได้ทำงานมีอาชีพ จึงต้องพึ่งพาคุณพ่อแต่ฝ่ายเดียว ด้วยเหตุนี้ คุณพ่อจะว่าอย่างไร แม่ก็จะว่าไปตามนั้น โดยเฉพาะการเลี้ยงดูลูก นอกจากแม่จะกลัวพ่อแล้ว ลูกๆก็กลัว และเกรงพ่อไปด้วย ลูกๆของแม่ประเภทนี้ บางคนก็รักและสงสารแม่มาก พอโตแล้วมักจะทำอะไรให้แม่ เพื่อชดเชย แต่หลายคนก็กลายเป็นคนไม่เกรงใจแม่ และข่มแม่ตัวตามพ่อไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ลูกๆควรสังวรว่าไม่ควรทำเช่นนั้นกับแม่ตัว
♥ แม่เผด็จการ
มักเป็น คุณแม่รู้ดี และคุณแม่คนเก่ง บางคนทำงานเก่ง บางคนมีความรู้ดี ดีกรีนอก ดังนั้น จึงคิดว่าตนรอบรู้ไปหมด ตัดสินใจแทน คิดแทนลูกไปหมด ลูกอยากจะออกความคิดเห็นบ้าง ก็ไม่ค่อยฟัง เพราะคิดว่าตนรู้มากกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน และความที่แม่ตัดสินใจให้ตลอดนี่เอง ลูกๆของแม่กลุ่มนี้เมื่อโตขึ้น ส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยกล้าออกความคิดเห็น หรือไม่ค่อยกล้าตัดสินใจ เพราะกลัวผิดพลาด กลายเป็นคนไม่เชื่อมั่นในตนเอง แม่ๆจึงควรระวังเรื่องนี้ด้วย และก็อย่าข่มพ่อ จนลูกชายขาด “ พ่อแบบที่ดี ”
♥ แม่สังคมสงเคราะห์
คุณแม่กลุ่มนี้ มักมีตำแหน่งทางสังคม ต้องออกไปดูแล สงเคราะห์ลูกๆ หรือเด็กๆบ้านอื่นอยู่เสมอ ส่วนลูกตัวปล่อยให้พี่เลี้ยง(จากนอก) เป็นคนเลี้ยงดู ทำให้ลูกไม่ค่อยเห็นแม่ หรือเห็นก็เห็นตามสื่อทีวี นิตยสาร ฯลฯ เป็นคุณแม่ที่สวยสง่า ดูดี มีเมตตา พูดจาไพเราะ แต่ไม่ค่อยมีเวลามาพูดกับลูกตน บางคนก็ชดเชยด้วยการให้เงิน ให้ของใช้แก่ลูก ตามใจลูก จนลูกมีเหลือกินเหลือใช้ ขาดก็แต่ “ เวลา ” และ “ ความรัก ความอบอุ่น ” จากแม่ตัวเท่านั้น
♥ แม่ดันดี
แม่กลุ่มนี้ เป็นแม่ยุคโลกาภิวัตน์นี่เอง กล่าวคือ ที่ไหนมีประกวด มีการแข่งขัน มีกิจกรรมให้ลูกได้แสดงออก คุณแม่ดันดี จะดันลูกๆตนสุดฤทธิ์ เพื่อให้ลูกได้อยู่ในระดับหน้า ต่อสู้ ดิ้นรน ไขว่คว้า ปูทางให้ลูกทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงดวงดาว ลูกบางคนก็ได้ดั่งใจ แต่บางคนเมื่อปีกกล้าขาแข็งแล้ว ก็อาจหันกลับมาถามแม่ให้ช้ำใจอีกว่า “ ทำไม แม่ไม่ถามสักคำ ว่าหนูอยากเป็น อยากทำอย่างนี้ไหม ”
♥ แม่หวงลูก ห่วงลูก
โดยทั่วไปแล้ว แม่ทุกคนก็จะหวง และเป็นห่วงเป็นใยลูกอยู่แล้ว แต่แม่กลุ่มนี้จะเป็นมากกว่าคนอื่นเขา ตอนเล็กก็ประกบติดลูกตลอด จะไปไหนมาไหน แม่อยู่เคียงข้างไม่ห่าง แม่บางคนถ้าครูยอมให้นั่งในห้องเรียนได้ คงเรียนพร้อมลูกไปแล้ว พอโตหน่อย ก็ยังไม่ปล่อย ลูกจะทำอะไรที่ไหน แม่ต้องรู้ ต้องอยู่ด้วยเสมอ เพราะห่วงลูกสารพัด ใครมาจีบลูก ต้องจีบแม่ให้ได้ก่อน ดังนั้น คู่รักของลูกกลุ่มนี้ จึงต้องผ่านการันตีจากยอดคุณแม่ก่อน แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ หากคู่ครองไม่รักและเอาใจลูกๆกลุ่มนี้ เหมือนที่เคยได้รับจากแม่ตัว ในอนาคตก็อาจจะเกิดปัญหาครอบครัวได้ เพราะเรียกร้องมากเกินไป
♥ แม่เพื่อนซี้
หรือแม่แสนสนิท จะใกล้เคียงกับแม่กลุ่มหวงลูก แต่เป็นน้อยกว่า และมักเป็นแม่ที่มีอายุใกล้เคียงกับลูก มีความคิดอ่านทันสมัย ค่อนข้างเป็นประชาธิปไตย แม่ลูกต่างรับฟังความคิดเห็นกันและกัน และพยายามพูดคุยกันทุกเรื่อง จึงเกิดความไว้วางใจกันและกัน ไปไหนไปด้วยกัน และเพื่อนๆลูกก็รู้สึกว่า แม่เพื่อน เป็นเหมือนแม่ตัว สนิทสนมไปด้วย
นอกจากนี้ ยังมี คุณแม่นักแฟชั่น ที่ชอบแต่งตัวให้ลูกสารพัด ไม่มีตกยุคตกรุ่น คุณแม่ไฮเปอร์ ที่นอกจากตัวจะอยู่เฉยไม่เป็นแล้ว ยังจับลูกเรียนโน่น เรียนนี่อยู่ตลอด บางคนให้ลูกเรียนเพราะอยากให้ลูกรู้สารพัด แต่บางคนให้ลูกเรียนเพราะตัวไม่ค่อยมีเวลา เลยพยายามหากิจกรรมให้ลูกทำ หรือบางคนเคยอยากเรียนอะไร แล้วไม่ได้เรียนตามที่ตั้งใจ ก็เลยให้ลูกเรียนชดเชยความหวังของตน เป็นต้น
แม่ เหล่านี้ เป็นเพียงตัวอย่าง ที่คุณแม่หลายคน อาจจะเป็นแบบใดแบบหนึ่ง หรือบางคนก็อาจเป็นหลาย ๆ แบบในคน ๆ เดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็น “ คุณแม่ ” แบบใด ก็เชื่อว่า แม่ทุกคนล้วนมีความรักที่ยิ่งใหญ่ให้กับลูกเสมอ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการจะเป็นแม่ที่ดีให้กับลูกน้อยของตัวเองได้นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย Amarin Baby & Kids จึงมีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณเป็นคุณแม่ที่แสนดีของลูกได้ ดังนี้ค่ะ….
อ่านต่อ >> “12 วิธีเป็นสุดยอดคุณแม่ที่แสนดีให้ลูกน้อย” คลิกหน้า 3
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
การเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้เติบโตมาอย่างดีในสมัยนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะทุกวันนี้มีสิ่งยั่วตาล่อใจรอลูกน้อยของเราอยู่มากมาย ทั้งสื่อต่าง ๆ โซเซียลเน็ตเวิร์ก และสังคมแวดล้อมในโรงเรียนที่เราไม่สามารถควบคุมได้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนต่างก็พากันกังวลกันสารพัดเรื่อง เป็นต้นว่า
ซึ่งหากลูกดื้อจะใช้วิธีไหนจัดการ และจะสอนยังไงให้ลูกเชื่อฟังไม่ออกนอกลู่นอกทาง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเราจึงขอนำ 12 วิธีเป็นคุณแม่ที่แสนดีให้ลูกน้อยมาบอกกล่าวกับคุณแม่ทุกคนให้ได้รู้กัน ว่าถ้าอยากให้ลูกเชื่อฟังและยกเราเป็นสุดยอดคุณแม่คนดีที่ 1 แล้วล่ะก็ ต้องทำตามกัน ดังนี้เลย…
1. เปลี่ยนเสียงตะโกนเป็นการตกลง
เวลาที่เด็ก ๆ งอแงเขาก็ไม่เลือกเวลาหรือดูความเหมาะสมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกถ้าคุณจะเกิดปรี๊ดแตกแผดเสียงดังใส่ลูกน้อยในวันที่เขางอแง และคุณก็เหนื่อยและเครียดจากที่ทำงานเป็นทุนเดิม ซึ่งเสียงดัง ๆ อาจจะหยุดอาการงอแงของเด็ก ๆ ได้ชะงัด แต่วิธีการหยุดเขาแบบนี้ จะทำให้เขาเรียนรู้ว่าการตะโกนเป็นวิธีที่จะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ จนอาจจะพัฒนาเป็นความก้าวร้าวติดตัวเขาไปในอนาคต ถ้าเป็นอย่างนี้เราเปลี่ยนจากการตะโกนมาเป็นการพูดคุยตกลงกับเด็ก ๆ ดีกว่าไหม เมื่อเขาทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็แค่จับเขามาคุยด้วยเหตุด้วยผล แล้วค่อย ๆ พูดสอนเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังว่าเขาทำอะไรผิด แล้วทำไมถึงทำพฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ อาจจะยื่นเงื่อนไขเพิ่มเติมเข้าไปด้วยก็ได้ ว่าถ้าทำแบบนี้อีกแม่จะไม่ให้กินขนม หรือไม่ให้ดูการ์ตูนอีกนะ เพื่อที่เขาจะได้ฝึกการใช้เหตุผลไปด้วยในตัว
2. หลบไปสงบสติอารมณ์
หากวิธีพูดคุยด้วยเหตุผลไม่สามารถหยุดอาการงอแงของเด็ก ๆ ได้ และคุณแม่เองก็เริ่มจะสติแตกอีกรอบแล้ว ก็เลือกเดินออกมาจากจุดนั้น แล้วหลบไปสงบสติอารมณ์สักพัก เพื่อจะได้กลับมาคุยกับเขาใหม่อีกครั้งดีกว่า เพราะถ้าหากคุณแม่ยั้งอารมณ์ไม่อยู่ จนเผลอตวาดเสียงดังใส่ลูกน้อย เพื่อให้เขาหยุดร้องไห้งอแง เด็ก ๆ ก็อาจจะเรียนรู้และเข้าใจไปเองว่าพฤติกรรมที่รุนแรงเป็นเรื่องปกติที่ใคร ๆ ก็ทำกัน และโตไปเขาก็อาจจะแสดงพฤติกรรมรุนแรงในสังคมได้
3. ใจเย็นและนิ่มนวล
สำหรับคุณแม่ที่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนใจร้อน อารมณ์ร้อน ก็อยากจะขอให้ปรับนิสัยตัวเองให้เป็นคนใจเย็นลงอีกนิด เพราะถ้าหากเด็ก ๆ เห็นคุณแม่เอะอะปึงปังอยู่ตลอด ทีนี้เวลาจะพูดสั่งสอนให้เขาสงบสติอารมณ์ ไม่โวยวายก็คงลำบากแล้วล่ะ อีกอย่างหากคุณแม่ชอบใช้อารมณ์กับลูก ๆ เป็นประจำ จะทำให้เด็ก ๆ ไม่เชื่อฟังอีกด้วยนะ ดังนั้นก็พยายามใจเย็นและนิ่มนวลกับลูก ๆ ไว้ดีกว่า
4. “ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะลูก…”
หากลูกทำผิด หรือมีพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก คุณแม่ก็ไม่ควรจะดุว่าลูกแรง ๆ เพราะการดุเขาด้วยเสียงดัง ๆ และถ้อยคำที่รุนแรง จะทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนประณาม หรือโดนกล่าวหา ทำให้เขาไม่อยากฟังสิ่งที่คุณแม่พูด ทางที่ดีเริ่มพูดกับเขาด้วยประโยคประมาณว่า “ทำอย่างนี้ไม่ดีเลยนะลูก…” แล้วก็ค่อย ๆ สอนเขาจะดีกว่า เพราะถ้าหากเราเป็นฝ่ายที่เริ่มเย็นลงก่อน เด็ก ๆ ก็จะค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ได้ และนิ่งฟังเราในที่สุด
5. อธิบายเหตุผลให้กระจ่าง
เมื่อเลือกที่จะสั่งสอนเขาด้วยเหตุและผล คุณแม่ก็จำเป็นต้องอธิบายเหตุและผลอย่างกระจ่างแจ้ง และอิงตามหลักความเป็นจริงด้วย เช่น หากลูกน้อยชอบแกล้งดึงหางน้องหมาและน้องแมว คุณแม่ก็อาจจะพูดกับเขาด้วยเหตุผลว่า อย่าแกล้งน้องหมาน้องแมวแบบนี้ เพราะเจ้าสี่ขาจะเจ็บ และอาจจะหันมากัดหรือข่วนให้เขาได้รับอันตรายด้วย นอกจากนี้การฝึกให้เขาใช้เหตุและผลตั้งแต่เด็ก ๆ จะทำให้เขาโตไปเป็นคนมีเหตุผลด้วยนะคะ
6. ฝึกให้เขาช่วยเหลือตัวเอง
เด็กที่โตพอจะทำอะไรด้วยตัวเองได้ก็ควรจะปล่อยให้เขาได้ทำอะไรเพื่อตัวเองบ้าง เช่น จัดเสื้อผ้าเข้าตู้เสื้อผ้าด้วยตัวเอง หิ้วผ้าที่ใส่แล้วมาใส่เครื่องซักผ้าและกดปุ่มซัก หรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาพอจะทำเองได้ เพื่อให้เขาได้เรียนรู้การช่วยเหลือตัวเองในเบื้องต้น หรือถ้าจะให้ดี คุณแม่จะสอนให้เขามีส่วนร่วมในการทำความสะอาดบ้านและดูแลบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น รดน้ำต้นไม้ ทำความสะอาดห้องตัวเอง หรืออาบน้ำน้องหมาก็ได้ โตขึ้นไปเขาจะได้เป็นเด็กที่ทำอะไรเป็น ช่วยเหลือตัวเองได้โดย ไม่ต้องพึ่งพาให้ใครมาทำอะไรให้นะคะ
7. ปลูกฝังเรื่องการกินอาหารเพื่อสุขภาพ
หากไม่อยากให้เด็ก ๆ โตขึ้นมาด้วยการกินแต่ขนม น้ำหวาน และอาหารขยะ พ่อและแม่ก็จำเป็นต้องปลูกฝังเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพและอาหารที่มีประโยชน์ให้เขาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ด้วยการฝึกให้เขากินอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ตั้งแต่ยังเด็ก และทุกมื้ออาหารก็ควรจะมีอาหารเพื่อสุขภาพรวมอยู่ด้วยทุกครั้ง หรือในระหว่างมื้ออาหารก็พูดคุยกันในประเด็นอาหารเพื่อสุขภาพ และโทษของอาหารขยะด้วยก็ได้
อ่านต่อ >> “วิธีเป็นสุดยอดคุณแม่ที่แสนดีให้ลูกน้อย ข้อ 8-12” คลิกหน้า 4
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
8. ค่อย ๆ ปรับพฤติกรรมการกินของลูก
ทุกวันนี้อัตราเด็กที่ป่วยเป็นโรคอ้วนมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ๆ และส่วนมากก็มาจากพฤติกรรมการกินอาหารไม่มีประโยชน์ และหากว่าเด็ก ๆ ของคุณติดนิสัยชอบกินฟาสต์ฟู้ด หรือขนมและน้ำหวานอย่างหนัก จนน้ำหนักเริ่มจะเกินมาตรฐานอยู่รอมร่อ ก็คงต้องค่อย ๆ ปรับนิสัยให้เขากินอาหารขยะน้อยลง โดยอาจจะซื้อธัญพืชอบแห้งมาให้เขากินเป็นขนมแทน หรือในมื้อเช้าก็ทำแซนด์วิชโฮลเกรนให้เขากิน และพยายามเลี่ยงไม่ให้เขากินฟาสฟูดส์บ่อยเกินไปด้วย ค่อย ๆ เปลี่ยนเมนูอาหารอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเขาก็จะเริ่มชินกับอาหารสุขภาพไปเองค่ะ
9. ตั้งกฎการรับประทานอาหาร
สำหรับเด็กที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นอาจจะมีสังคมเพื่อนและติดเพื่อนมากกว่าเด็กในวัยอื่น ๆ จนอาจจะไม่ค่อยได้ร่วมรับประทานอาหารกับครอบครัว ซึ่งพ่อแม่ก็คงเริ่มห่วงและกังวลว่าลูกจะนอกลู่นอกทาง หรือเสี่ยงจะไปในทางที่ผิดหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพื่อให้ครอบครัวได้รับประทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา คุณพ่อคุณแม่ก็ควรจะตั้งกฎการร่วมโต๊ะอาหารว่า ใน 1 สัปดาห์จะต้องกินอาหารเย็นร่วมกันอย่างพร้อมหน้าไม่ต่ำกว่า 3-4 วันเป็นอย่างต่ำ นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ในขณะที่ร่วมรับประทานอาหารกัน ก็ควรปิดทีวี วิทยุ และปิดเสียงโทรศัพท์ด้วย เพื่อไม่ให้มีอะไรมารบกวนการพูดคุยในครอบครัว
10. จัดอาหารจานเล็ก ๆ
สำหรับเด็กเล็ก ๆ ควรจะต้องจัดอาหารแยกให้เขาได้ทานเป็นส่วนตัว เพราะถ้าหากให้เขากินอาหารบนโต๊ะที่มีแต่อาหารอยู่เยอะแยะ และทุกคนก็ร่วมกันกินอย่างเอร็ดอร่อย อาจจะทำให้เขาติดนิสัยกินเยอะตามไปด้วย จนอาจกลายเป็นเด็กกินเยอะและอ้วนได้ในอนาคต เสียสุขภาพและบุคลิกภาพแย่เลยค่ะ
11. หาโอกาสพูดคุยกับลูก
ด้วยภาระหน้าที่ของแต่ละคน อาจจะทำให้พ่อ แม่ ลูก และคนในครอบครัวไม่มีเวลาพูดคุย และบอกเล่าเหตุการณ์ในแต่ละวันให้กันและกันฟัง ซึ่งก็อาจเป็นการเปิดโอกาสให้ความสัมพันธ์มีช่องว่าง ห่างเหิน และไม่สนิทพอที่ลูก ๆ จะกล้าปรึกษาเวลาที่เขามีปัญหา ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหา และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว เราก็ควรจะหาโอกาสอยู่กับลูกเป็นส่วนตัวบ้าง อาจจะพาลูกออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ เดินไปคุยกันไป หรือจะส่งลูกเข้านอนทุกคืนก็ได้ แม้ว่าลูกจะโตเกินที่จะพาเข้านอน แต่วิธีนี้ก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณและลูกมีเวลาได้คุยกัน อีกทั้งยังเป็นการแสดงความรักความห่วงใยให้เขาได้รับรู้ด้วยล่ะ
12. อย่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี
คำที่กล่าวกันว่า “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” นั้น เป็นเรื่องจริง เพราะลูกจะซึมซับพฤติกรรมของแม่ไว้ ฉะนั้น แม่เป็นอย่างไรลูกก็มักจะเป็นเช่นนั้นนั่นเอง ถ้าตัวแม่เองยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกไม่ได้ก็อย่าหวังว่าลูกจะเป็นคนที่ดีได้เลย ยกตัวอย่าง เช่น
- ถ้าแม่เป็นคนที่มีนิสัยหยาบคาย ก็อย่าหวังว่าลูกจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อยได้
- ถ้าแม่เป็นคนที่ใจแคบตระหนี่ถี่เหนียว ก็อย่าหวังว่าลูกจะเป็นคนที่ใจกว้างชอบแจกจ่ายให้ผู้อื่นได้
- ถ้าแม่เป็นคนมีนิสัยปลิ้นปล้อนหลอกลวง ก็อย่าหวังว่าลูกจะเป็นคนที่ซื่อตรงและจริงใจได้
- ถ้าแม่เป็นคนขี้โกงมักได้ละโมบโลภมาก ก็อย่าหวังว่าลูกจะเป็นคนที่ซื่อสัตย์และรู้จักพอ
และสิ่งสำคัญที่สุกคือ การรักและให้อภัย คนเป็นแม่สามารถแสดงความรักกับลูกได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการสัมผัสโอบกอด อุ้ม หอม แก้ม ลูบหัว การพูดจาที่อ่อนโยนและให้กำลังใจกับลูก แม่ที่แสดงให้ลูกรู้ว่ามีความรักให้กับลูกอยู่เสมอนั้น จะทำให้ลูกเป็นคนที่มีความสุข มีความเชื่อมั่นในตนเอง และมีพัฒนาการทางสติปัญญาที่ดีมากกว่าเด็กที่ขาดความรักความอบอุ่นจากแม่
นอกจากนี้ เมื่อลูกทำผิด หรือมีความผิดพลาดในสิ่งใดก็ตาม เช่น ทำข้าวของเสียหายหนีเที่ยว สอบตก ฯลฯ แม่ที่ดีควรเข้าใจ รับฟัง และให้อภัยลูกอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ควรละเลยในการตักเตือน หรืออาจมีการลงโทษว่ากล่าวตามสมควร ซึ่งก็อย่าใช้วิธีลงโทษรุนแรงด้วยการทำร้ายร่างกาย หรือด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายกับลูกเลย เพราะนั่นจะเป็นการสร้างบาดแผลในใจลูกให้คิดไปว่าแม่เกลียดตนเอง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ลูกกลายเป็นคนก้าวร้าวดุดันและประชดทำในเรื่องร้าย ๆ มากยิ่งขึ้นได้
เด็กทุกคนจะเติบโตมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูสั่งสอนของพ่อและแม่เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากอยากให้เขาโตขึ้นเป็นเด็กดี ใครเห็นก็เมตตาเอ็นดู และมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง จนทั้งลูกและใคร ๆ ก็พากันยกย่องว่าคุณเป็นสุดยอดคุณแม่ …แต่อย่างไรก็ดีสำหรับผู้หญิงทุกคนที่คิดจะเป็นแม่ หรือวางแผนที่จะเป็นแม่คนนั้น ควรเริ่มต้นในการที่จะเช็กตัวเองดูก่อนว่าใจพร้อม กายพร้อม ความรับผิดชอบพร้อม ที่จะดูแลชีวิตน้อย ๆ ที่จะเกิดมาได้อย่างดีหรือไม่ และเมื่อมั่นใจว่าพร้อมแล้ว และได้เป็นแม่คนแล้วก็ควรจะเป็นแม่ที่ดูแล ทะนุถนอม เอาใจใส่ และมีเวลาให้กับลูกอย่างเต็มที่ อีกทั้งเป็นแม่ที่มีความรักและให้อภัยกับลูกเสมอ
อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!
- ทำ หน้าที่พ่อแม่ ให้ดีที่สุด หยุดกังวลเกินเหตุจนบั่นทอนจิตใจตน
- 13 คาถาการเลี้ยงลูกที่ดี ที่พ่อแม่ควรรู้!
- วิธีก้าวไปสู่ความเป็นพ่อแม่ที่ดี
- 9 คาถาสู่การเป็น พ่อแม่ที่ดี และมีคุณค่า
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th