คุณแม่ฟูลไทม์ …การเลี้ยงลูกด้วยตัวเองเป็นสิ่งที่คุณแม่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะจะได้อยู่ดูแลลูกตลอดเวลา ได้เห็นพัฒนาการของลูกรักทุก ๆ ขั้น ทุก ๆ เรื่องราวอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าคุณแม่ฟูลไทม์ต้องเผชิญก็คือคำพูดต่างๆ ที่บั่นทอนจิตใจคุณแม่ เช่น “สบายเลยนะ อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียว!”
เป็น คุณแม่ฟูลไทม์ สบายจริงหรือ?
ซึ่งคนภายนอกหรือคนที่ยังไม่มีลูก มักมองเห็นว่า การคุณแม่ที่เลี้ยงลูกอยู่บ้านว่าแสนสบาย น่าอิจฉาเป็นที่สุด เพราะแค่เลี้ยงลูกเฉยๆ ไม่ต้องออกไปทำงาน สู้รบปรบมือกับคนนอกบ้านในเหนื่อยแรง มีสามีคอยให้เงิน และยิ่งสำหรับคุณแม่มือใหม่แล้วเมื่อใกล้ครบกำหนดลาคลอด เชื่อเลยว่ามีคุณแม่หลายๆ ท่านมีอาการ “ติดลูก” ความกังวลต่างๆ นานา ประดังประเดเข้ามา “ลูกยังติดเต้าอยู่เลย จะทำยังไงดี” “กลับไปทำงานจะมีเวลาปั๊มนมไหม” “คนเลี้ยงจะดูแลลูกดีไหม” เมื่อลูกไม่อยู่ในสายตา สัญชาตญาณของแม่จะผุดขึ้นมาทันที และเพราะใจของคนเป็นแม่นั้นมีความกังวลต่อความปลอดภัยของลูกน้อยตลอดเวลา และต้อการเลี้ยงดูแลลูกได้ดีที่สุด
Must read : ลาออกมาเลี้ยงลูก กับข้อ 10 ข้อก่อนตัดสินใจ
ด้วยเหตุนี้ ทางเลือกการเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ ก็ผุดมาในห้วงความคิด แต่คุณแม่ก็ต้องมานั่งกดเครื่องคิดเลขดูก่อนว่า ถ้าเราออกจากงาน รายได้ทางเดียวจะพอจุนเจือครอบครัวไหม เพราะมีหลายครอบครัวโชคดีที่ไม่มีภาวะทางการเงินมาบีบบังคับ สามารถเลือกลาออกจากงานได้ทันที แต่หลายครอบครัวไม่มีโอกาสแบบนั้น ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจเป็นคุณแม่ฟูลไทม์ Amarin Baby & Kids จึงขอแนะนำว่าควรคำนึงถึงอะไรบ้าง
- ภาวะทางการเงิน ปัจจัยสำคัญในยุคข้าวยากหมากแพงนี้ อาหารก็แพง ของเล่นของใช้เด็กก็แพง นอกจากคำนึงถึงค่าใช้จ่ายประจำวัน เราควรนึกไปถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่นๆ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าประกัน ค่าเล่าเรียน
Must read : ค่าใช้จ่ายสำหรับลูก ตั้งแต่ แรกเกิด – ป.ตรี ต้องใช้เงินเท่าไหร่? รู้หรือยัง?
- ภาวะทางสังคม หากคุณแม่เป็นคนทำงาน แน่นอนว่ามักจะชอบสังคม ได้ออกไปช้อปปิ้งตลาดนัดตอนกลางวัน ได้ทานข้าวเม้าท์กับเหล่าสาวๆ ได้เหล่หนุ่มเพิ่มความกระชุ่มกระชวย แล้วจะรับได้ไหม หากในหนึ่งวันต้องอยู่บ้านกับลูก ได้เม้าท์กับเพื่อนผ่านทางแชตเท่านั้น ได้แต่แอบส่องเฟสคนอื่น เวลาไปจัดใหญ่กินข้าวตอนมื้อเที่ยงที่ร้านส้มตำข้างตึก
- ภาวะแรงกดดันจากคนใกล้ตัว ญาติพี่น้องมีความเป็นห่วงเป็นใย กล่าวตักเตือนแกมตำหนิ “จะไม่ทำงานหรอ” “สบายเลย อยู่บ้านเลี้ยงลูก” “ถ้าสามีทิ้งจะทำไง” และความหวังดีประสงค์ร้ายต่างๆนานาที่มาบั่นทอนความตั้งใจของเรา
- ภาวะความภาคภูมิใจในตนเองถดถอย หลายคนเป็นผู้หญิงทำงาน เป็นบอส เมื่อต้องออกจากงานมาเลี้ยงลูก อาจจะรู้สึกไร้ค่า เมื่อก่อนได้ตัดสินใจในดีลร้อยล้านพันล้าน วันนี้ได้ตัดสินใจแค่ว่า ลูกจะกินข้าวกับอะไร ต้องซื้อผ้าอ้อมตุนไว้ไหม
เหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เชื่อไหมคะว่ามันเป็นแค่ภาวะหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่จะช่วยเยียวยาจิตใจแม่ฟูลไทม์ คือรอยยิ้มของลูกน้อย ก้าวเดินแรก คำพูดแรกของเค้า ได้เป็นคนแรกที่เค้าเห็นเมื่อยามตื่น และได้เป็นคนสุดท้ายที่เค้าเจอในยามหลับ แค่นี้เท่านั้นก็ยืนยันได้ว่า เราตัดสินใจถูกแล้ว
อ่านต่อ >> “10 เหตุผลที่ทุกคนต้องรู้! การเป็นคุณแม่ Full time ไม่ได้สบาย เหมือนที่ใครคิด” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อย่างที่กล่าวมาเพราะการเป็นคุณแม่ Full Time นั้น มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ลองมาดูกันค่ะว่าความจริงแล้วคุณแม่ full time ต้องเจอะเจอกับอะไรกันบ้าง
โดยในแต่ละวันต้องรับมือกับหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งลูก ทั้งงานบ้าน ทั้งคุณสามี รวมทั้งรายได้ที่เคยมี เคยได้ จากการทำงานประจำก็หดหายไปค่ะ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีค่าจ้าง ไม่มีโบนัสประจำปี ไม่สามารถ ขาด ลา มา สาย ย้ำป่วยก็มิได้นะคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นด้วยความรักความห่วงใยที่มีให้แก่ลูก เชื่อว่าแม่ๆ ต้องยอมเป็นคุณแม่ Full Time กันเยอะทีเดียวค่ะ ด้วยจะจ้างพี่เลี้ยงก็กลัวเหมือนในข่าวต่างๆ ยอมลาออกจากงานประจำมาเลี้ยงเองดีกว่า แต่สิ่งที่จะแลกด้วยการเป็นคุณแม่ Full Time เลี้ยงดูลูกน้อยด้วยตัวเอง ก็ต้องแลกมากับสิ่งเหล่านี้
สิ่งที่คุณแม่ full time ต้องเจอ!
1. การตัดขาดจากเพื่อนฝูง สังคมโลกภายนอก (ห่างกันสักพักน้าเพื่อนๆ)
แน่นอนว่าหากคุณแม่เคยอยู่ในสังคมเพื่อสาวมากมาย ได้ออกไปทานขนมเม้าท์กับเหล่าสาวๆ หรือได้เหล่หนุ่มเพิ่มความกระชุ่มกระชวย แต่หากมีลูกน้อยแล้วสิ่งเหล่านั้นก็ต้องสิ้นสุดลง วันๆ คงได้แต่อูๆ อาๆ อยู่กับลูก หรือได้เพียงแค่เม้าท์กับเพื่อนผ่านทางแชตเท่านั้น
2. การเป็นแจ๋ว 24 ชม. (ยิ่งชุดสวยไม่ต้องพูดถึง ชุดนอนตั้งแต่เช้ายันบ่าย)
เพราะภารกิจการเลี้ยงลูกของคุณแม่ เริ่มตั้งแต่เช้าเมื่อลูกตื่น โดยครึ่งค่อนวันจะต้องใช้เวลากับภารกิจจัดการเรื่องของลูก ตั้งแต่อาบน้ำ แต่งตัว ป้อนข้าว ล้างขวดนม ซักผ้า และรวมถึงงานบ้านอื่นๆ เงยหน้ามาก็บ่ายโมงกว่าแล้ว ซึ่งกว่าคุณแม่จะได้จัดการภารกิจของตัวเอง ก็อาจมีงานบ้านเข้ามาแทรก ลูกอึต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม แม่จะกินข้าวก็ต้องอุ้มลูกไปด้วย กว่าจะได้อาบน้ำก็ตอนลูกนอนกลางวัน
3. การหน้าโทรม ผมยุ่ง ขอบตาแพนด้า
สืบเนื่องจากการเป็นแจ๋ว 24 ชม. แล้ว แม่เวลาอาบน้ำยังต้องรีบเลย นับประสาอะไรกับการแต่งหน้าแต่งตัว ที่แต่ก่อนใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการลงแป้ง เขียนคิ้ว ปัดแก้ม ทาลิป แต่เมื่อมีลูกน้อย ขอแค่ให้ได้อาบน้ำใส่เสื้อผ้าทันก่อนลูกตื่นก็ดีแล้ว ผมก็มัดรวบๆเอา ขอบตาต้องดำคล้ำอีก เพราะกว่าลูกจะนอน หรือต้องตื่นมาปั้มนมให้ลูกอีกด้วย
4. การกิน นอน ไม่เป็นเวลา
แน่นอนอยู่แล้วว่า เพราะคุณแม่ต้องโฟกัสการเลี้ยงดูทุกอย่างไปที่ลูกน้อยก่อนเสมอ ส่วนเรื่อง การกิน การนอน ของแม่คือจะเกิดขึ้นหลังจากดูแลลูกน้อยเสร็จเรียบร้อยนั้นเอง
5. งดเที่ยว ช้อป ชิม นอกบ้าน
เพราะภารกิจการเลี้ยงลูกทุกอย่างขอบเขตมีแค่ในบ้าน หากคุณแม่จะได้เที่ยว ช้อป ชิม นอกบ้าน ก็ต่อเมื่อเป็นช่วงวันหยุด ที่อาจจะขอร้องให้คุณสามีพาไปช้อปปิ้ง ซึ่งก็ต้องอุ้มลูกไปด้วยอยู่ดี แต่ก็น่าจะช่วยสร้างความกระชุ่มกระชวยให้หัวใจคุณแม่ได้บ้าง
6. ท้องผูกเป็นเรื่องปกติ
เพราะการกินนอนที่ไม่เป็นเวลา เรื่องอาการท้องผูกคงต้องมาเยือนคุณแม่ full time อย่างแน่นอน เพราะอาจจะต้องอดทนการปล่อยหนัก หันมาดูลูกก่อนเมื่อลูกร้องไห้อยู่ในขณะนั้น จึงทำให้คุณแม่ต้องอั้นและเกิดอาการท้องผูกได้
7.จะเคลื่อนไหวไปไหนก็มีแสบน้อยตามติด
(ไม่เว้นแม้เวลาเข้าห้องน้ำ) นั้นคือเรื่องจริง เพราะคุณต้องอยู่กับลูก 2 คนทั้งบ้านถ้าลูกไม่หลับก็ไม่มีเวลาทำภารกิจส่วนตัวเลย หรือเผลอๆภารกิจส่วนตัวอย่างการถ่ายหนัก-เบา ก็ต้องเอาเจ้าตัวน้อยเข้าไปในห้องน้ำด้วยนั้นเอง
8. การกลายร่างเป็นของเล่น รถ สัตว์ ทุกอย่างที่แสบน้อยต้องการ
เพราะของเล่นที่ดีที่สุดของลูกคือคุณแม่ นอกจากจะต้องคอยเลี้ยงดูเรื่องชีวิตประจำวันต่างๆแล้ว คุณแม่ยังต้องกลายเป็นของเล่นของลูกอีกด้วย ทั้งนี้ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์และพันาการที่ดีให้กับลูกได้อีกทางหนึ่งด้วย
Must read : เล่นกับลูก ช่วยให้ทารกเรียนรู้ พ่อแม่ไม่ต้องเก่งก็ทำได้!
Must read : งานยุ่ง จนไม่มีเวลาเล่นกับลูก จะพูดกับลูกอย่างไรไม่ให้ลูกเสียใจ
9. การต้องรับมือกับเจ้าตัวน้อยและเหตุการณ์น่าตื่นเต้นตลอดเวลา
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ฉุกเฉินเมื่อลูกตัวร้อน หรืออุบัติเหตุต่างๆที่คุณแม่ต้องคอยระวัง รวมไปถึงพัฒนาการของลูกที่เปลี่ยนไปแต่ละเดือน เรื่องนี้ก็ทำเอาคุณแม่ลุ้นให้ตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาได้เช่นเดียวกัน
Must read : ลูกอาละวาด พ่อแม่จะรับมืออย่างไรดี ?
10. เพื่อนสนิทสุด คือ เจ้าตัวน้อยและมือถือ
เพราะเจ้าตัวเล็กต้องอยู่ติดตัว ติดตาคุณแม่อยู่เสมอตลอดเวลา จะมีอีกหนึ่งสิ่งที่คุณแม่สามารถพกติดตัวได้ก็คือมือถือ ที่ต้องแอบเล่นในเวลาที่ลูกหลับนั้นเอง เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวที่จะอยู่เป็นเพื่อนคุณได้
อาจพูดได้เลยว่า ใครหรือครอบครัวไหนแอบอิจฉาคุณแม่ที่ได้เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน อย่าอิจฉากันเลยค่ะ เพราะว่าในความโชคดีที่ได้เป็นคนเลี้ยงลูกเองอยู่กับบ้านนั้น ก็มีเรื่องให้เครียดมากมาย ไม่แพ้คุณแม่ที่ไปทำงานนอกบ้านหรอกค่ะ
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
>> นอกจากนี้ยังมีการสำรวจความคิดเห็นของบรรดาคุณแม่ในสหรัฐอเมริกา ที่มีอายุระหว่าง 18-64 ปี โดยพบว่า บรรดาคุณแม่ฟูลไทม์นั้น มีโอกาสเกิดอารมณ์ในเชิงลบเกิดได้มากเช่นกัน ซึ่งอาจจะเทียบเท่า หรือมากกว่าคุณแม่ที่ต้องทำงานประจำก็เป็นได้ค่ะ
ทั้งนี้ มี 41 เปอร์เซ็นต์ของคุณแม่ฟูลไทม์ ที่ระบุว่า ตนเองเป็นคนช่างวิตกกังวล ในขณะที่บรรดาคุณแม่ทำงานกลับมีคนรู้สึกเช่นนี้ราว 34 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนั้น คุณแม่ฟูลไทม์ ยังมีโอกาสอาจเกิดภาวะซึมเศร้าได้มากกว่าคุณแม่ที่ทำงานประจำอีกด้วย เพราะมีถึง 28 เปอร์เซ็นต์ของแม่ฟูลไทม์ ตอบว่า ตนเองเคยเกิดภาวะซึมเศร้า ในขณะที่แม่ทำงานมีเพียง 17 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
นอกจากอารมณ์ซึมเศร้า และความวิตกกังวลแล้ว ความเครียด และอารมณ์โกรธก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลสำรวจชี้ว่าแม่ฟูลไทม์มีสูงกว่าแม่ทำงานด้วย
สาเหตุของการเกิดอารมณ์ในแง่ลบมาจากการต้องเลี้ยงลูกอยู่เพียงลำพัง ทำให้คุณแม่ฟูลไทม์มีโอกาสพูดน้อยลง ยิ้มน้อยลง ยิ่งหัวเราะดังๆ แล้วยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนั่นหมายถึงโอกาสที่พวกเธอจะได้รู้สึกถึงความสุข ความร่าเริง นั้นห่างไกลออกไปทุกทีนั่นเอง
ต่อด้วยคำถามถึงความรู้สึกในแง่บวกกับตัวเอง แม่ทำงาน 91 เปอร์เซ็นต์ ตอบว่า ตนเองเคยรู้สึกมีความสุข ส่วนแม่เลี้ยงลูกอยู่กับบ้านยอมรับในข้อนี้น้อยกว่าอยู่ที่ 86 เปอร์เซ็นต์
อ่านต่อ >> “เคล็ดลับรับมือความเครียดและเหนื่อยล้าของคุณแม่ Full time” คลิกหน้า 3
เป็นคุณแม่ฟูลไทม์ สบายจริงหรือ?
ทั้งนี้ ดร.Robi Ludwig นักจิตวิทยาชื่อดังในนิวยอร์ก เผยว่า “การอยู่โดดเดี่ยว คือ สัญญาณอันตราย เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การที่มนุษย์แยกตัวอยู่คนเดียว จะยิ่งเพิ่มความรู้สึกไม่ดีให้กับตัวเอง มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวไม่ถูกใจ หรืออาจกล่าวได้ว่า การอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นจะทำให้ผู้คนมองโลกในแง่ลบ และอาจเกิดการทำร้ายตัวเองได้”
นั่นจึงเป็นเหตุผลสำหรับที่ทำให้แม่ฟูลไทม์อาจเกิดความรู้สึกในแง่ลบนี้ได้โดยง่าย เมื่ออะไรๆ ในบ้านก็ต้องแบกอยู่บนบ่าของเธอแต่เพียงลำพัง ทั้งการเลี้ยงลูก การทำงานบ้าน การดูแลเรื่องอาหารให้กับคนในครอบครัว แถมทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จเสียด้วย
สิ่งเหล่านี้สร้างความอ่อนล้าและความเครียดให้กับคุณแม่มือใหม่ได้ Amarin Baby & Kids จึงขอนำเคล็ดลับสำหรับคุณแม่ Full time และคุณแม่มือใหม่เพื่อรับมือกับสถานการณ์อ่อนล้าในช่วงแม่ลูกอ่อนมาฝากค่ะ
- ปรับชีวิตให้ช้าลง ชีวิตของผู้ใหญ่ในปัจจุบันต่างเร่งรีบดำเนินไปแข่งกับเวลา แต่สำหรับชีวิตของเด็กทารกแล้ว เขาก้าวย่างด้วยอัตราเร็วที่ช้ากว่าเรามาก ๆ คุณแม่เองลองปรับการใช้ชีวิตของตัวเองให้ช้าลงตาม คุณก็จะรู้สึกเย็นลง และผ่อนคลายมากขึ้นได้ค่ะ
- มองโลกในแง่ดี คุณจะได้ชื่อว่าเป็นคุณแม่มือใหม่เพียงแค่ไม่กี่เดือนหลังจากคลอดลูกเท่านั้น อาจจะเหนื่อยอย่างนี้ไปสักพัก แต่จะไม่ยาวนานแน่นอน ลองคิดดูว่าคุณสามารถทำอะไรให้ลูกในช่วงเวลานี้ได้บ้างดีกว่า และลงมือทำมันให้ได้มากที่สุด
- งีบหลับทุกเมื่อที่มีโอกาส พยายามงีบหลับให้ได้ทุกเมื่อที่มีโอกาส เช่นในยามที่ลูกหลับปุ๋ย หรือยามที่มีคนคอยดูแลลูกน้อยแทน แม้อาจเป็นเวลาแค่ครึ่งชั่วโมง แต่มันก็ทำให้คุณรู้สึกสดชื่นขึ้นได้
- หาทางผ่อนคลายตัวเองบ้าง การดูแลลูกน้อยกินพลังงานคุณไปมาก จึงจำเป็นที่จะต้องเติมพลังงานให้กลับมาเต็มเปี่ยมเหมือนเดิม ลองหากิจกรรมที่ชื่นชอบที่คุณสามารถทำได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง อย่างออกไปเดินเล่น อ่านหนังสือ แช่น้ำอุ่น จิบน้ำชา นั่งคุยกับเพื่อนบ้าน ก็จะช่วยให้คุณเติมความสดชื่นและคืนพลังงานกลับมาได้อีกครั้ง
- ไม่ตั้งความหวังสูงกับสิ่งที่วางแผนไว้ คุณแม่หลาย ๆ คนออกจากงานเพื่อทุ่มเวลาให้กับการเลี้ยงเจ้าตัวน้อยโดยเฉพาะ หลาย ๆ คนก็คาดหวังไว้ว่าอาจรับทำงานที่บ้าน จัดบ้าน ทำสวน หรือปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ให้สวยงาม แต่ในความจริงการเลี้ยงเด็กอ่อนอาจยุ่งกว่าที่คุณคิด คุณอาจไม่ได้ลงมือทำในสิ่งที่คาดไว้สักอย่างเลยก็ได้ และเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกท้อแท้ผิดหวัง สู้คาดหวังแต่เรื่องดูแลลูกให้ดี และค่อยแบ่งเวลาว่าง (ถ้าหากมี) ไปทำงานที่อยากทำจะดีกว่า
- รับความช่วยเหลือจากคนอื่น และขอความช่วยเหลือจากคนอื่นบ้าง อย่าลังเลขลาดเขินที่จะตอบรับความช่วยเหลือของคนอื่นบ้าง เช่น พ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท หรือว่าเพื่อนบ้าน ที่อาสาช่วยดูแลเจ้าหนูน้อยของคุณให้ เพื่อคุณจะได้มีเวลาส่วนตัวเล็ก ๆ บ้าง หรือบางทีการที่คุณแสดงออกว่าเป็นคุณแม่คนเก่งและแกร่ง ที่สามารถดูแลลูกด้วยตนเองได้ อาจทำให้คนที่คอยเป็นห่วงอยากจะช่วยเหลือรู้สึกขลาดเขินที่จะออกปากเสนอตัวคอยช่วย แต่เชื่อเถอะ ถ้าวันไหนที่คุณเหนื่อยล้ามาก ๆ ลองออกปากขอความช่วยเหลือฝากดูแลลูกน้อยสักหน่อย คนที่คอยเป็นห่วงรอบ ๆ ตัวคุณเขาจะไม่ลังเลที่จะตอบตกลงเลยล่ะ
- ยอมรับตัวเองว่ารู้สึกอ่อนไหวง่ายขึ้น คุณแม่บางคนรู้สึกว่าตัวเองอ่อนไหวมากขึ้น แค่เรื่องลูกมากระทบนิด ๆ หน่อย ๆ ก็พาลจะร้องไห้ หลาย ๆ คนไม่ชอบที่ตัวเองเป็นเช่นนี้ แต่การอ่อนไหวไม่ได้แปลว่าอ่อนแอหรอกนะคะ อารมณ์เช่นนี้เหมือนจะเกิดขึ้นเป็นธรรมชาติ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งได้ก้าวขึ้นมาเป็นแม่ ดังนั้นมาเปิดใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ในจุดนี้ของตัวเองดีกว่า แล้วคุณจะสบายใจขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ
เพราะก้าวแรกของการเป็นแม่ จะเติบโตและพัฒนาไปพร้อม ๆ กับก้าวย่างในชีวิตของเจ้าหนูตัวน้อยของคุณเช่นกันค่ะ แม้จะเหนื่อยบ้าง เครียดบ้าง ท้อบ้าง แต่เรามั่นใจว่าด้วยสัญชาติญาณของความเป็นแม่ คุณจะผ่านพ้นมันไปได้อย่างแน่นอน และอย่าลืมดูแล ผ่อนคลายตัวเอง ตามคำแนะนำที่เรานำมาฝากกันนะคะ อย่างไรก็ดีทาง Amarin Baby & Kids ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณแม่ full time ทุกคนด้วยนะคะ เพราะไม่มีอาชีพไหนยิ่งใหญ่และมีค่ามากไปกว่าอาชีพ “แม่” อีกแล้ว ♥ ^^
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!
- 10 เรื่องแรกที่สามีควรทำต่อภรรยา เมื่อกลายเป็น แม่ของลูก
- 8 เคล็ดลับ สู่การเป็น Single Momอย่างมืออาชีพ!
- ความลำบากของแม่ รู้มั้ย? เป็นแม่มันเหนื่อย!!
- ฮอร์โมนแห่งการเสียสละของแม่ พิสูจน์แล้วจากการวิจัย
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th , www.bonnypure.com , www.formom.co , baby.kapook.com