แพทย์แนะ! จงเปลี่ยนปมด้อยลูกให้มีคุณค่า ด้วยการ สอนลูกให้มั่นใจในตัวเอง !
ทุก ๆ คนไม่จำกัดทั้งเพศและวัยนั้นย่อมมีจุดด้อยเป็นของตัวเอง หากแต่เราทุกคนจะสามารถมองข้ามหรือผ่านจุดน้ันไปได้อย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำจาก แพทย์หญิงปราณี เมืองน้อย จากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณ์สุข มาฝากกันค่ะ
โดยคุณหมอกล่าวว่า ผู้ปกครองหลายท่านอาจจะเคยมีปัญหาที่ลูกถูกเพื่อน ๆ ในชั้นเรียนล้อมาบ้างแล้วใช่ไหมคะ ไม่ว่าจะเป็น อ้วน ผอม เตี้ย ดำ เป็นต้น จนทำให้ลูกน้อยไม่รู้สึกอยากไปโรงเรียนเพราะไม่อยากไปเจอเพื่อน ๆ แถมในบางครั้งยังพยายามปกปิดบางอย่างที่เพื่อนล้อกับคุณพ่อคุณแม่อีกด้วย หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น คุณพ่อคุณแม่มีวิธีรับมือกันอย่างไรบ้างคะ
คุณหมอจึงอยากที่จะฝากตัวอย่างเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ เพื่อจะเป็นการพลิกสถานการณ์และช่วยลูกให้มีความมั่นใจขึ้น!
อ่านต่อ >> สถานการณ์ที่คุณหมอยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง คลิก!
ตัวอย่างสถานการณ์ สอนลูกให้มั่นใจในตัวเอง
น้องแมน มีไฝเม็ดโตอยู่ที่ข้อมือข้างซ้าย ทำให้เพื่อนร่วมชั้นต่างพากันล้อเลียนน้องแนนว่า “ไอ้ไฝดำ” แต่น้องแมนรู้สึกเสียใจและไม่พอใจและบ่นอยากที่จะเอาไฝนั้นออกเป็นอย่างมาก แต่หารู้ไม่ว่าคุณแม่นั้นรู้สึกชื่นชมกับไฝนั้นเป็นอย่างมาก เนื่องจาก เมื่อครั้งที่ลูกยังเด็ก คุณแม่สอนให้ลูกรู้จักกับข้างซ้ายและข้างขวาโดยใช้ไฝนั้นเป็นสัญลักษณ์
วันเวลาผ่านไป น้องแมน หานาฬิกามาใส่เพื่อพลางไฝเม็ดนั้น แต่ก็ไม่วายที่จะถูกเพื่อน ๆ ล้อเหมือนเดิม จึงขอร้องให้คุณแม่พาไปเอาไฝเม็ดนี้ออก คุณแม่ท่านนี้จึงหาวิธีแก้ไขด้วยการเล่าเรื่องของลูกตั้งแต่อยู่ในห้องคลอดว่า
ลูกรู้ไหม ตอนที่หมอนำลูกมาให้แม่ นาทีแรกที่แม่เห็นลูกก็คือไฝเม็ดนี้ มันทำให้แม่จำลูกได้อย่างแม่นยำ และที่สำคัญเวลาที่พยาบาลเอาลูกมาคืนแม่ที่ห้องนั้น มันทำให้แม่รู้ทันทีเลยว่า เด็กคนนี้ใช่ลูกของแม่จริง ๆ หรือไม่ พร้อมกับเล่าเรื่องข่าวคราวการสลับเด็กทารกขึ้น ซึ่งไม่มีใครรู้เลยว่าโดนสลับ กว่าจะมารู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว ต่างฝ่ายต่างเสียใจที่ไม่มีโอกาสดูแลกันและกัน พร้อมกับชี้ให้ลูกเห็นว่า แม่ก็มีไฝที่ลูกอาจจะไม่เคยสังเกตด้วยเช่นกัน พร้อมกับเล่าว่า “ไฝเม็ดนี้เป็นไฝที่มีค่ากับแม่และยายเป็นอย่างมาก เพราะเจ้าไฝเม็ดนี้นี่แหละที่ทำให้ยายมักเข้าใจผิดว่าเป็นยุงมากัดแม่ จนยายต้องคอยเฝ้าดูแลแม่อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา”
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ น้องแมน รู้สึกประทับใจและผูกพันกับไฝของตัวเองเป็นอย่างมาก จนเลิกใส่นาฬิกาข้อมือไปโดยปริยาย และเวลาที่โดนเพื่อนล้อเลียนนั้น ก็ไม่สนใจอะไร พร้อมกับมาเล่าให้แม่ฟังว่า
เขาไม่แคร์หรอกที่เพื่อนไม่รู้ว่าไฝเม็ดนี้สำคัญกับเขามากขนาดไหน แต่เขารู้แต่เพียงว่า เจ้าไฝเม็ดนี้ทำให้เขาได้รู้ว่า แม่รักเขามากขนาดไหนต่างหาก
อ่านต่อ >> 9 วิธีสร้างความมั่นใจให้กับลูก คลิก!
เครดิต: โพสต์ทูเดย์
5 วิธีสร้างความมั่นใจให้กับลูก
ทราบไหมคะว่า ศัตรูของความเชื่อมั่นคืออะไร … คำตอบก็คือ ความท้อใจและความกลัวนั่นเอง ทีนี้หากลูกรู้สึกดังกล่าว การที่จะช่วยให้ลูกมีความมั่นใจได้นั้น คุณพ่อคุณแม่สามารถช่วยลูกได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ
- ชื่นชมกับความพยายามของลูก ไม่ว่าลูกจะแพ้หรือชนะ เมื่อเราโตมากขึ้นเราจะพบว่าระหว่างการเดินทางมีค่ามากกว่าจุดหมายปลายทาง เมื่อลูกตั้งเป้าหมายเพื่อที่จะชนะในการทำกิจกรรมบางอย่าง แต่ต้องสะดุดล้มหรือพลาดพลั้งไม่ไปถึงเส้นชัย ให้เราให้กำลังใจกับความพยายามของลูกนั้น อย่าทำให้ลูกรู้สึกอายเมื่อเขากำลังพยายาม ผลดีในระยะยาวคือลูกจะเรียนรู้ว่าความพยายามช่วยสร้างความมั่นใจได้อย่างมากทีเดียว
- ให้กำลังใจเพื่อสร้างความสามารถ คุณพ่อคุณแม่ควรให้กำลังใจและเสริมแรงให้ลูกทำในสิ่งที่ลูกสนใจ
- ฝึกให้ลูกรู้จักแก้ปัญหาด้วยตนเอง ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกเสมอ ลูกจะขาดทักษะในการพัฒนาด้านความเชื่อมั่นในการคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง เมื่อผู้ปกครองคอยช่วยเหลือตลอดเวลาลูกจะขาดวิธีรู้จักคิดแก้ปัญหาและความเชื่อมั่นในตนเองจะหมดไปโดยปริยาย
- กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น การตั้งคำถามที่ไม่จบไม่สิ้น อาจทำให้ลูกรู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่าย แต่ความจริงแล้วไม่ควรเป็นอย่างนั้น ผู้ปกครองควรตั้งคำถามเพื่อช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก เพื่อลูกจะเรียนรู้ว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรามองไม่เห็นในโลกนี้อีกมากมายที่เรายังไม่ได้เรียนรู้ สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้ลูกมีความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น เด็กที่มาจากครอบครัวที่พ่อแม่ตั้งคำถามให้เสมอ ๆ จะเรียนรู้ได้เร็วและดีกว่าเด็กที่พ่อแม่หาคำตอบให้ตลอดเวลา
- ปล่อยให้ลูกได้ลองสิ่งท้าทายใหม่ ๆ แสดงให้ลูกเห็นเป้าหมายที่เป็นความสำเร็จเล็ก ๆ เพื่อไปสู่ความสำเร็จของเป้าหมายใหญ่ๆ เช่น ขี่จักรยานโดยไม่ใช้ล้อเล็กฝึกการช่วยขี่ คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างความมั่นใจในตัวลูกเพิ่มขึ้นได้จากความรับผิดชอบตามวัย
ที่สำคัญที่สุด ไม่วิพากษ์วิจารณ์การแสดงออกของลูก อยู่เคียงข้างพวกเขา และพร้อมที่จะช่วยเหลือเมื่อยามจำเป็น นอกจากนี้ควรสอนให้ลูกรู้ด้วยว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ได้ หากเราไม่ลองทำอย่างจริงจังและตั้งใจเสียก่อน
เครดิต: Independent
อ่านต่อเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่