AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเพราะว่ายน้ำ

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

จากประสบการณ์ของคุณแม่ที่โพสต์เอาไว้ในกระทู้พันทิปเมื่อหลายเดือนก่อน Amarin Baby & Kids ขออนุญาตหยิบยกมาเป็นอุทาหรณ์ให้กับคุณพ่อ คุณแม่ที่มักจะพาลูกน้อยไปว่ายน้ำตามที่ต่างๆ อาจเกิดความเสี่ยงทำให้เป็น โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

 

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

คุณแม่ฝากเตือนเกี่ยวกับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ว่าส่วนใหญ่เกิดจากการเล่นน้ำที่มีเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส แล้วเกิดสำลักน้ำเข้าไปทางจมูก ทำให้เชื้อโรคแพร่เข้าสู่สมอง จึงควรให้ลูกน้อยเล่นน้ำในสระน้ำที่มีระบบบำบัดเท่านั้น จุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด คือบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟที่บ้าน ซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร เมื่อทำสระเสร็จก็เตรียมพักน้ำเอาไว้ในบ่อ เพื่อที่จะรอปล่อยปลา ด้วยความที่ลูกชายวัย 8 ขวบของคุณแม่ชอบเล่นน้ำอยู่แล้ว เมื่อเห็นบ่อปลาใส่น้ำเอาไว้ ก็เลยขอลงเล่น คุณแม่คิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไร จึงให้ลูกน้อยเล่นตอนแดดไม่ร้อน ลูกชายของคุณแม่เล่นน้ำ 3 วันติดต่อกัน ดำผุดดำว่าย สำลักน้ำตามประสาเด็ก 3 วันต่อมา ลูกชายเริ่มมีอาการปวดศีรษะ จึงรีบพาไปหาคุณหมอ

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2559

คุณหมอตรวจอาการแล้วบอกว่าให้นอนโรงพยาบาลดีกว่า เพราะอยากจะขอตรวจให้ละเอียดทุกอย่าง เพราะลูกน้อยไข้สูง ปวดศีรษะมาก และมีอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย จึงต้องตรวจน้ำมูกหาไข้หวัดใหญ่ ตรวจเลือดหาไข้เลือดออก เย็นวันนั้นผลออกมาเป็นปกติ คุณหมอแจ้งว่าเหลือตรวจสมองเพียงที่เดียว คุณหมอสงสัย เพราะลูกน้อยมีอาการคอแข็ง ก้มหน้าไม่ลง และปวดเมื่อยตั้งแต่คอลงไปถึงหลัง ซึ่งเป็นอาการของโรคไข้สมองอักเสบ หรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ คุณหมอจึงตรวจโดยการเจาะไขสันหลัง เพื่อนำน้ำในไขสันหลังมาตรวจหาเชื้อโรค ตอนนี้ลูกยังรู้สึกตัวดีอยู่ พูดคุยกับคุณแม่ได้ปกติ และให้ความร่วมมือคุณหมอเป็นอย่างดี จึงไม่ต้องดมยาสลบ ผลการตรวจออกมาตอนประมาณ 22.00 น. ของวันนั้น คุณหมอก็สั่งให้ใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียทันทีทางสายน้ำเกลือเมื่อรู้ผล คืนนั้นลูกชายไข้ขึ้นต้องเช็ดตัว และบ่นปวดศีรษะตลอดทั้งคืน

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2559

อาการไข้ลดลงเล็กน้อย จาก 39 องศา เป็น 37.9 องศา แต่ยังมีอาการ พูดคุยได้ปกติ แต่รับประทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งปกติลูกน้อยจะเป็นคนกินเก่ง คุณหมอสรุปอาการว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ จากเชื้อแบคทีเรีย และจะต้องได้รับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเป็นเวลา 14 วัน และมีการส่งน้ำในไขสันหลังเพื่อตรวจหาเชื้อไวรัสด้วย ซึ่งต้องรอประมาณ 2 – 3 วัน

วันจันทร์/อังคารที่ 21-22 มีนาคม 2559

อาการไข้ขึ้นห่างกว่าเดิม แต่ยังมีอยู่บ้าง และบางช่วงลดลงเหลือ 36.6 องศา อาการปวดศีรษะเริ่มน้อยลง แต่จะนอนหลับมากกว่าเดิม แทบไม่รับประทานข้าวเลย รับประทานแต่ผลไม้ และไอศกรีม บางครั้งมีอาการเพ้อตอนไข้ขึ้น

วันพุธที่ 23 มีนาคม 2559

แทบไม่มีอาการไข้เลย อาการปวดศีรษะน้อยลง นอนหลับมากขึ้น ไม่รับประทานอาหาร พูดคุยได้น้อยมาก ถามคำตอบคำ พูดอยู่ก็หลับไปเฉยๆ ช่วงเย็นทราบผลตรวจ พบว่ามีเชื้อไวรัสรวมอยู่ด้วย เป็นตัวแพลน เอนเทอโรไวรัส เป็นไวรัสที่ไม่มียารักษา ต้องให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายกำจัดออกไปเอง ถึงตอนนี้ทุกอย่างดูมือมนไปหมด คิดว่าตอนแรกจะมีแค่เชื้อแบคทีเรียให้ยาฆ่าเชื้อจนครบก็น่าจะไม่มีปัญหา คุณแม่จึงปรึกษาคุณหมอ และหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต แล้วพบเคสตัวอย่างซึ่งเป็นโรคเดียวกับลูกชาย โดยการใช้ยา ivig ในการรักษา โดยยาจะช่วยในการสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย แต่ต้องให้ยาในห้อง ICU เนื่องจากบางคนอาจแพ้ยานี้ คืนนั้นจึงย้ายลูกน้อยไปห้อง ICU

วันพฤหัสที่ 24 มีนาคม 2559

คืนนั้นลูกน้อยไม่มีไข้ การให้ยาเป็นไปด้วยดี แต่วันนี้ทั้งวันลูกไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่คุณแม่พูดด้วย ไม่พูดคุย นอนหลับตลอด และร้องครางบางครั้ง อาจเป็นเพราะรำคาญสายต่างๆ ที่ระโยงรยางค์รอบตัว ทั้งสายน้ำเกลือ สายยา สายวัดชีพจร เครื่องวัดความดันที่ต้องใส่คาเอาไว้ที่แขน คุณแม่นั่งมองดูลูกแล้วสงสารจับใจ ได้แต่นั่งร้องไห้กัน 2 คนทั้งพ่อแม่

วันศุกร์/เสาร์ที่ 25-26 มีนาคม 2559

อาการทรงตัว เริ่มกลับมามีไข้ต่ำๆ 37.8 องศา ลูกนอนหลับตลอดทั้งวัน สามารถขยับร่างกายได้เอง แต่ไม่ลืมตา ไม่ตอบสนอง คุณพ่อ คุณแม่ลูบศีรษะ จับมือ และพูดคุยด้วย แต่ไม่ตอบสนอง เย็นวันเสาร์คุณหมอเริ่มให้อาหารทางสาย เพราะลูกไม่สามารถรับประทานได้เอง สงสารลูกน้อยที่สุด เพราะจะโดนใส่สายอาหาร คุณแม่ร้องไห้ คุณหมอรอดูอีก 2 – 3 วันว่ายาจะได้ผลหรือไม่ ทำแล้วจะทำให้ลูกน้อยตื่นลืมตาได้มากขึ้นหรือไม่

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

อ่านต่อ “ลูกป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเพราะว่ายน้ำ” คลิกหน้า 2

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2559

ลูกมีไข้ 37.9 องศา จึงให้ยาพาราเซตามอล สามารถขยับได้แต่แขนขา ไม่กลืนน้ำลาย พ่นออกมาตลอดต้องคอยเช็ด พลิกตัวเองไม่ได้ เมื่อคืนถ่าย และมีก้นแดง เลือดออกเล็กน้อย เนื่องจากไม่ได้รับประทานอาหารเป็นเวลานาน เมื่อได้รับอาหารทางสายเข้าไป จึงถ่ายออกมาพร้อมน้ำย่อย ทำให้น้ำย่อยกัดก้นเป็นแผล ถ่ายอยู่หลายครั้ง แต่ช่วงกลางวันถ่ายน้อยลง และพรุ่งนี้คุณหมอจะเพิ่มอาหารเป็น 4 มื้อ ในวันนี้คุรพ่อ คุณแม่มีอาการเครียดมาก พยาบาลจึงบอกให้กลับไปพักผ่อนบ้าง คุณหมอก็ให้กำลังใจ เพราะช่วงที่ลูกอยู่ในห้อง ICU ก็จะนั่งเฝ้าลูกน้อยทั้งวัน ไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน เพราะนอนไม่หลับ คิดถึงแต่ลูก จึงขับรถออกมาจากโรงพยาบาล ไปทำในสิ่งที่สบายใจ คือไปตักบาตรตอนเช้า ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ เพื่อช่วยให้คุ้มครองลูกน้อย ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คิดว่าครอบครัวไปล่วงเกิน ซื้อปลาไหลปล่อยทุกวัน วันละ 9 ตัวเท่าอายุลูก การไปไหนโดยไม่มีลูกเป็นสิ่งที่ทรมานใจที่สุด เหมือนมีแต่ตัวตน แต่ไม่มีหัวใจ

วันจันทร์/ อังคารที่ 28-29 มีนาคม 2559

อาการทรงตัว ขยับแขนขาได้ มีไข้ 37.6 องศา ได้รับยาแก้ท้องเสีย จึงถ่ายน้อยลง คุณหมอสั่งตรวจเลือดและอุจจาระ ผลออกมาปกติ วันอังคารช่วงบ่ายมีความดันขึ้น คุณแม่เครียดอีกครั้ง วันพรุ่งนี้คุณหมอจะให้นักกายภาพบำบัดมาช่วยทำกายภาพให้

วันพุธที่ 30 มีนาคม 2559

ช่วงเช้าไม่มีไข้ แต่มีไข้ช่วงเย็น 37.8 องศา ถ่ายน้อยลง อาการทรงตัว คุณแม่เห็นลูกดูทีวีก็ดีใจมาก เห็นลูกลืมตาได้ครึ่งหนึ่งมองโทรทัศน์ แต่ยังไม่ตอบสนองต่อคำพูด พูดกับลูก จับตัวลูก แต่เขายังไม่รู้สึก ไม่มองหรือหันตาม วันนี้ได้ถอดสายน้ำเกลือ เหลือไว้แต่เข็มให้ยา และเริ่มทำกายภาพบำบัด คุณหมอบอกว่าวันนี้อาการทรงตัว ไม่มีความดันขึ้น ทุกอย่างปกติ และจะย้ายไปห้องปกติคืนนี้ ประมาณ 21.30 น. เมื่อขึ้นห้องมาลูกจามตลอด และมีน้ำมูก ต้องคอยเช็ดน้ำลายด้วย วันนี้ถ่าย 2 ครั้ง ตอนอยู่ในห้อง ICU พยาบาลและผู้ช่วยจะเป็นคนดูแลทั้งหมด แต่เมื่อเปลี่ยนห้องแล้ว คุณแม่ต้องหัดทำทุกอย่างเอง

วันพฤหัส 31 มีนาคม 2559

อาการทุกอย่างทรงตัว ลืมตามองโทรทัศน์ได้ แต่ไม่เต็มที่ วันนี้ทำกายภาพบำบัดเป็นวันที่ 2 ถ่ายเหลวประมาณ 4 ครั้ง ก้นกลับมาแดงอีกครั้ง มีไข้ต่ำๆ 37.5 องศา กลางคืนนอนหลับได้มากขึ้น

 

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2559

อาการทรงตัว มีไข้ต่ำๆ 37.6 องศา ทำกายภาพบำบัดเป็นวันที่ 3 แขนขาเริ่มมีแรงมากขึ้นเล็กน้อย นักกายภาพบำบัดให้กำลังใจคุณพ่อ คุณแม่ให้ยิ้มสู้ต่อไป ช่วงไปทำ TC สแกน ผลสมองออกมาปกติดีทุกอย่าง คุณแม่ดีใจมากๆ

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2559

มีไข้ต่ำๆ 37.8 องศา ลูกน้อยลืมตาได้มากกว่าเดิม คุณแม่จึงเปิดโทรทัศน์ช่องที่ลูกชอบทิ้งไว้ทั้งวัน แต่วันนี้หลังจากให้อาหารตอนเที่ยงก็อาเจียนออกมา อาจเป็นเพราะปกติไม่ได้กินนมเป็นหลักทุกมื้อ เมื่อได้รับอาหารทางสายซึ่งมีนมเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้อาเจียนบ้าง ถ่ายเหลวบ้าง วันนี้ทำกายภาพบำบัด โดยการจับนั่ง ใช้เตียงช่วยพยุง ให้ลุกขึ้นมายืนก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีความดันขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2559

เมื่อคืนที่ผ่านมามีอาเจียน 1 ครั้ง ถ่ายเหลว 2 ครั้ง มีไข้ต่ำๆ 37.6 องศา วันนี้ลืมตาได้เต็มตา ดูโทรทัศน์ตลอด ขยับแขนขาได้เอง ยกแขนได้เล็กน้อย ทำกายภาพบำบัดจับยืนด้วยเตียง และนั่งเก้าอี้ คุณแม่ดีใจมากๆ ที่ลูกน้อยยกแขนเองได้แล้ว วันนี้ให้ยาฆ่าเชื้อครบ 14 วันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ คุณหมอจะให้กลับบ้านได้พรุ่งนี้ กลางคืนขยับตัวได้ พลิกตัวตะแคงได้ ขยับแขนขาได้แรงขึ้น

Human Brain

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2559

มีไข้ต่ำๆ 37.6 องศา ทำกายภาพบำบัดจับยืน นั่ง เริ่มเกร็งคอได้เองบ้าง ยกมือตามคำสั่งได้บางครั้ง คุณหมอมาตรวจในตอนเช้า ให้ลูกน้อยมองตามว่าคนไหนคุณพ่อ คนไหนคุณแม่ ลูกสามารถกรอกตาตามได้ หลังจากนั้นก็ร้องไห้โฮ มีอาการเพิ่มเติมคือ ร้องไห้ได้ เหมือนรู้สึกตัว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เอง ก็เลยร้องไห้ออกมา วันนี้คุณหมอให้กลับบ้านได้ด้วยรถโรงพยาบาล เพราะลูกน้อยยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา คุณพยาบาลได้สอนให้คุณแม่หัดทำทุกอย่างเองไว้หมดแล้ว เช่น การให้อาหารทางสาย การดูดเสมหะ การเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าอ้อม ทำกายภาพบำบัด เมื่อกลับมาบ้านจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อ คุณแม่ที่จะต้องดูแล ช่วงบ่ายคุณพ่อออกไปหาซื้อของใช้ต่างๆ ที่ลูกน้อยต้องใช้เตรียมกลับบ้าน เมื่ออยู่กับลูก 2 คน คุณแม่ก็ร้องไห้ออกมา ทั้งดีใจที่ได้กลับบ้าน ได้แต่บอกลูกว่า “เรากลับไปเริ่มต้นกันใหม่ที่บ้านเรานะลูก ไปหัดทำกายภาพบำบัดกัน แม่จะไม่ยอมแพ้ กี่เดือน กี่ปี แม่ก็จะทน แม่จะต้องทำให้ลูกกลับมาเหมือนเดิมให้ได้” ทั้งๆ ที่ในใจคุณแม่ไม่ทราบเลยว่าลูกน้อยจะกลับเป็นปกติได้อีกหรือไม่ เย็นวันนั้นประมาณ 17.10 น. ลูกน้อยได้ออกจากโรงพยาบาล และนอนหลับตลอดทาง เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจอหน้าทุกคนที่บ้าน ลูกน้อยก็ร้องไห้ออกมา หลังจากกลับมาบ้าน คุณแม่ทำทุกอย่างเหมือนกับที่อยู่โรงพยาบาล ให้อาหารทางสายเป็นเวลา ทำกายภาพบำบัดทุกวัน ช่วงหลังลูกน้อยเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น เริ่มขี้เกียจ อยากนอนอย่างเดียว แต่ก็ต้องบังคับ มีร้องโยเยบ้าง เริ่มจับลูกขึ้นมาเดิน วันแรกๆ ก็เริ่มจากน้อย ครั้งละ 5 นาที ขาลูกสั่น วันต่อมาก็ค่อยๆ เพิ่มให้นานขึ้น ครั้งละ 20 นาที วันละ 3 ครั้ง จนลูกน้อยเริ่มเดินได้คล่องขึ้น โดยทำราวให้ลูกหัดเดินเอง

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2559

เหมือนกับมีปาฏิหาริย์ คืนนั้นลูกน้อยตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็พูดออกมาคำแรกว่า “แม่” คุณแม่กระเด้งตัวลูกขึ้นมาแทบไม่ทัน จากที่ลูกน้อยปากแข็ง ไม่เคยขยับเลย เขาเริ่มพูดได้ ขยับลิ้นได้ จากที่คุณแม่เคยป้อนน้ำแค่น้อยๆ ก็เพิ่มปริมาณมากขึ้น จนสามารถกลืนได้เก่งขึ้น หลังจากนั้นก็เริ่มป้อนของเหลว เช่น โจ๊ก อีกไม่กี่วัน คุณหมอก็ให้ถอดสายออกได้ แล้วเริ่มรับประทานอาหารต่างๆ กัน เริ่มพูดคุยได้ปกติ แต่ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องหัดฝึกทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน เช่น การเดิน การรับประทาน การพูด การทบทวนความทรงจำ โดยใช้เวลาฟื้นฟูประมาณ 1 เดือน ลูกน้อยก็กลับมาเป็นปกติ นี่คือความสุขที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อ เป็นแม่ที่สุดแล้ว และหวังว่าสิ่งที่โพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง

อ่านเพิ่มเติม คลิก!!

 


เครดิต: http://pantip.com/topic/35408613

 

Save

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

Save

Save