โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพราะลูกติดเชื้อโรคจากว่ายน้ำ - amarinbabyandkids
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ลูกป่วยเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบเพราะว่ายน้ำ

event
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2559

ลูกมีไข้ 37.9 องศา จึงให้ยาพาราเซตามอล สามารถขยับได้แต่แขนขา ไม่กลืนน้ำลาย พ่นออกมาตลอดต้องคอยเช็ด พลิกตัวเองไม่ได้ เมื่อคืนถ่าย และมีก้นแดง เลือดออกเล็กน้อย เนื่องจากไม่ได้รับประทานอาหารเป็นเวลานาน เมื่อได้รับอาหารทางสายเข้าไป จึงถ่ายออกมาพร้อมน้ำย่อย ทำให้น้ำย่อยกัดก้นเป็นแผล ถ่ายอยู่หลายครั้ง แต่ช่วงกลางวันถ่ายน้อยลง และพรุ่งนี้คุณหมอจะเพิ่มอาหารเป็น 4 มื้อ ในวันนี้คุรพ่อ คุณแม่มีอาการเครียดมาก พยาบาลจึงบอกให้กลับไปพักผ่อนบ้าง คุณหมอก็ให้กำลังใจ เพราะช่วงที่ลูกอยู่ในห้อง ICU ก็จะนั่งเฝ้าลูกน้อยทั้งวัน ไม่ได้กลับมานอนที่บ้าน เพราะนอนไม่หลับ คิดถึงแต่ลูก จึงขับรถออกมาจากโรงพยาบาล ไปทำในสิ่งที่สบายใจ คือไปตักบาตรตอนเช้า ไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือ เพื่อช่วยให้คุ้มครองลูกน้อย ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คิดว่าครอบครัวไปล่วงเกิน ซื้อปลาไหลปล่อยทุกวัน วันละ 9 ตัวเท่าอายุลูก การไปไหนโดยไม่มีลูกเป็นสิ่งที่ทรมานใจที่สุด เหมือนมีแต่ตัวตน แต่ไม่มีหัวใจ

วันจันทร์/ อังคารที่ 28-29 มีนาคม 2559

อาการทรงตัว ขยับแขนขาได้ มีไข้ 37.6 องศา ได้รับยาแก้ท้องเสีย จึงถ่ายน้อยลง คุณหมอสั่งตรวจเลือดและอุจจาระ ผลออกมาปกติ วันอังคารช่วงบ่ายมีความดันขึ้น คุณแม่เครียดอีกครั้ง วันพรุ่งนี้คุณหมอจะให้นักกายภาพบำบัดมาช่วยทำกายภาพให้

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบวันพุธที่ 30 มีนาคม 2559

ช่วงเช้าไม่มีไข้ แต่มีไข้ช่วงเย็น 37.8 องศา ถ่ายน้อยลง อาการทรงตัว คุณแม่เห็นลูกดูทีวีก็ดีใจมาก เห็นลูกลืมตาได้ครึ่งหนึ่งมองโทรทัศน์ แต่ยังไม่ตอบสนองต่อคำพูด พูดกับลูก จับตัวลูก แต่เขายังไม่รู้สึก ไม่มองหรือหันตาม วันนี้ได้ถอดสายน้ำเกลือ เหลือไว้แต่เข็มให้ยา และเริ่มทำกายภาพบำบัด คุณหมอบอกว่าวันนี้อาการทรงตัว ไม่มีความดันขึ้น ทุกอย่างปกติ และจะย้ายไปห้องปกติคืนนี้ ประมาณ 21.30 น. เมื่อขึ้นห้องมาลูกจามตลอด และมีน้ำมูก ต้องคอยเช็ดน้ำลายด้วย วันนี้ถ่าย 2 ครั้ง ตอนอยู่ในห้อง ICU พยาบาลและผู้ช่วยจะเป็นคนดูแลทั้งหมด แต่เมื่อเปลี่ยนห้องแล้ว คุณแม่ต้องหัดทำทุกอย่างเอง

วันพฤหัส 31 มีนาคม 2559

อาการทุกอย่างทรงตัว ลืมตามองโทรทัศน์ได้ แต่ไม่เต็มที่ วันนี้ทำกายภาพบำบัดเป็นวันที่ 2 ถ่ายเหลวประมาณ 4 ครั้ง ก้นกลับมาแดงอีกครั้ง มีไข้ต่ำๆ 37.5 องศา กลางคืนนอนหลับได้มากขึ้น

 

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2559

อาการทรงตัว มีไข้ต่ำๆ 37.6 องศา ทำกายภาพบำบัดเป็นวันที่ 3 แขนขาเริ่มมีแรงมากขึ้นเล็กน้อย นักกายภาพบำบัดให้กำลังใจคุณพ่อ คุณแม่ให้ยิ้มสู้ต่อไป ช่วงไปทำ TC สแกน ผลสมองออกมาปกติดีทุกอย่าง คุณแม่ดีใจมากๆ

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน 2559

มีไข้ต่ำๆ 37.8 องศา ลูกน้อยลืมตาได้มากกว่าเดิม คุณแม่จึงเปิดโทรทัศน์ช่องที่ลูกชอบทิ้งไว้ทั้งวัน แต่วันนี้หลังจากให้อาหารตอนเที่ยงก็อาเจียนออกมา อาจเป็นเพราะปกติไม่ได้กินนมเป็นหลักทุกมื้อ เมื่อได้รับอาหารทางสายซึ่งมีนมเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้อาเจียนบ้าง ถ่ายเหลวบ้าง วันนี้ทำกายภาพบำบัด โดยการจับนั่ง ใช้เตียงช่วยพยุง ให้ลุกขึ้นมายืนก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีความดันขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2559

เมื่อคืนที่ผ่านมามีอาเจียน 1 ครั้ง ถ่ายเหลว 2 ครั้ง มีไข้ต่ำๆ 37.6 องศา วันนี้ลืมตาได้เต็มตา ดูโทรทัศน์ตลอด ขยับแขนขาได้เอง ยกแขนได้เล็กน้อย ทำกายภาพบำบัดจับยืนด้วยเตียง และนั่งเก้าอี้ คุณแม่ดีใจมากๆ ที่ลูกน้อยยกแขนเองได้แล้ว วันนี้ให้ยาฆ่าเชื้อครบ 14 วันแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ คุณหมอจะให้กลับบ้านได้พรุ่งนี้ กลางคืนขยับตัวได้ พลิกตัวตะแคงได้ ขยับแขนขาได้แรงขึ้น

โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
Human Brain

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน 2559

มีไข้ต่ำๆ 37.6 องศา ทำกายภาพบำบัดจับยืน นั่ง เริ่มเกร็งคอได้เองบ้าง ยกมือตามคำสั่งได้บางครั้ง คุณหมอมาตรวจในตอนเช้า ให้ลูกน้อยมองตามว่าคนไหนคุณพ่อ คนไหนคุณแม่ ลูกสามารถกรอกตาตามได้ หลังจากนั้นก็ร้องไห้โฮ มีอาการเพิ่มเติมคือ ร้องไห้ได้ เหมือนรู้สึกตัว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เอง ก็เลยร้องไห้ออกมา วันนี้คุณหมอให้กลับบ้านได้ด้วยรถโรงพยาบาล เพราะลูกน้อยยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ตลอดหลายวันที่ผ่านมา คุณพยาบาลได้สอนให้คุณแม่หัดทำทุกอย่างเองไว้หมดแล้ว เช่น การให้อาหารทางสาย การดูดเสมหะ การเช็ดตัว เปลี่ยนผ้าอ้อม ทำกายภาพบำบัด เมื่อกลับมาบ้านจึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อ คุณแม่ที่จะต้องดูแล ช่วงบ่ายคุณพ่อออกไปหาซื้อของใช้ต่างๆ ที่ลูกน้อยต้องใช้เตรียมกลับบ้าน เมื่ออยู่กับลูก 2 คน คุณแม่ก็ร้องไห้ออกมา ทั้งดีใจที่ได้กลับบ้าน ได้แต่บอกลูกว่า “เรากลับไปเริ่มต้นกันใหม่ที่บ้านเรานะลูก ไปหัดทำกายภาพบำบัดกัน แม่จะไม่ยอมแพ้ กี่เดือน กี่ปี แม่ก็จะทน แม่จะต้องทำให้ลูกกลับมาเหมือนเดิมให้ได้” ทั้งๆ ที่ในใจคุณแม่ไม่ทราบเลยว่าลูกน้อยจะกลับเป็นปกติได้อีกหรือไม่ เย็นวันนั้นประมาณ 17.10 น. ลูกน้อยได้ออกจากโรงพยาบาล และนอนหลับตลอดทาง เมื่อกลับมาถึงบ้าน เจอหน้าทุกคนที่บ้าน ลูกน้อยก็ร้องไห้ออกมา หลังจากกลับมาบ้าน คุณแม่ทำทุกอย่างเหมือนกับที่อยู่โรงพยาบาล ให้อาหารทางสายเป็นเวลา ทำกายภาพบำบัดทุกวัน ช่วงหลังลูกน้อยเริ่มรู้สึกตัวมากขึ้น เริ่มขี้เกียจ อยากนอนอย่างเดียว แต่ก็ต้องบังคับ มีร้องโยเยบ้าง เริ่มจับลูกขึ้นมาเดิน วันแรกๆ ก็เริ่มจากน้อย ครั้งละ 5 นาที ขาลูกสั่น วันต่อมาก็ค่อยๆ เพิ่มให้นานขึ้น ครั้งละ 20 นาที วันละ 3 ครั้ง จนลูกน้อยเริ่มเดินได้คล่องขึ้น โดยทำราวให้ลูกหัดเดินเอง

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน 2559

เหมือนกับมีปาฏิหาริย์ คืนนั้นลูกน้อยตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็พูดออกมาคำแรกว่า “แม่” คุณแม่กระเด้งตัวลูกขึ้นมาแทบไม่ทัน จากที่ลูกน้อยปากแข็ง ไม่เคยขยับเลย เขาเริ่มพูดได้ ขยับลิ้นได้ จากที่คุณแม่เคยป้อนน้ำแค่น้อยๆ ก็เพิ่มปริมาณมากขึ้น จนสามารถกลืนได้เก่งขึ้น หลังจากนั้นก็เริ่มป้อนของเหลว เช่น โจ๊ก อีกไม่กี่วัน คุณหมอก็ให้ถอดสายออกได้ แล้วเริ่มรับประทานอาหารต่างๆ กัน เริ่มพูดคุยได้ปกติ แต่ยังจำอะไรไม่ค่อยได้ ต้องหัดฝึกทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน เช่น การเดิน การรับประทาน การพูด การทบทวนความทรงจำ โดยใช้เวลาฟื้นฟูประมาณ 1 เดือน ลูกน้อยก็กลับมาเป็นปกติ นี่คือความสุขที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อ เป็นแม่ที่สุดแล้ว และหวังว่าสิ่งที่โพสต์นี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อื่นบ้าง

อ่านเพิ่มเติม คลิก!!

 


เครดิต: http://pantip.com/topic/35408613

 

Save

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Save

Save

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up