AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

นักจิตวิทยาเด็กแนะเทคนิค! เลี้ยงลูกให้ห่างไกล ภัยจากโซเชียลมีเดีย

การเลี้ยงลูกในโลกยุคไอที ตัวแปรใหม่ของศตวรรษที่ 21ซึ่งให้คุณประโยชน์มาก แต่สามารถให้โทษได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งสำคัญที่พ่อแม่ต้องพึงระวัง นั่นคือ ภัยจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นอันตรายอย่างหนึ่งที่อาจทำให้ลูกน้อยสูญเสียความเป็นคนไปเลยก็ว่าได้

สำหรับเรื่องนี้ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ หัวหน้ากลุ่มงานจิตเวช โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้เขียนเตือนคุณพ่อคุณแม่ให้ระวังลูกๆ ของภัยที่มาจากโซเชียลมีเดีย สำหรับเด็กในวัย 0-8 ปี ซึ่งจะมีอะไรบ้าง และคุณพ่อคุณแม่ต้องรับมือ หรือป้องกันอย่างไร มาดูกันค่ะ

ภัยจากโซเชียลมีเดีย สำหรับเด็กในวัย 0-8 ปี มีอะไรบ้าง

เข้าโซเชียลมีเดีย เด็กได้อะไร

ไอทีหรือ IT ย่อมาจาก Information and Technology ไอที เป็นตัวแปรใหม่ของศตวรรษที่ 21 ซึ่งให้คุณประโยชน์มาก แต่สามารถให้โทษได้ด้วยเช่นเดียวกับเทคโนโลยีชนิดอื่นๆ

ซึ่งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเป็นนวัตกรรมที่ไม่เพียงเปลี่ยนวิถีชีวิตของทุกคนรวมทั้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่ที่ก้มหน้าเพื่อใช้เครื่องมือสองชิ้นนี้ แต่ไอทีเปลี่ยนสมองและวิธีทำงานของสมองด้วย

>> ประเด็นแรกคือ “สมอง” ลูกกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา พ่อแม่ควรมั่นใจหรือควรกังวลว่า… สมองลูกจะพัฒนาเป็นรูปแบบใด และท้ายที่สุดแล้ว สมองที่ได้มาจะเหมาะสมหรือดีพอต่ออนาคตของเขาหรือไม่?

>> ถัดจากสมอง คือ “จิตใจ” ไอทีและเครื่องมือ 2 ชิ้นนี้รบกวนการอบรมเลี้ยงดูในรูปแบบเดิมที่มักจะสั่งสอนให้ลูกช่วยงานหรือทำงาน ซึ่งเด็กแทบทุกคนใช้เวลาในแต่ละวันส่วนหนึ่งแทนที่จะเล่นจริงๆ หรือทำงานจริงๆ ไปกับการใช้ไอทีด้วย!

>> วัตถุประสงค์อื่นๆ พ่อแม่ควรมั่นใจหรือกังวลว่า… จิตใจของลูกจะพัฒนาไปอย่างไร และกลายเป็นรูปแบบใด

แต่อย่างไรก็ดีต้องยอมรับว่าทักษะสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 คือ ทักษะไอที (IT Skills) ทักษะไอทีประกอบด้วย

  1. ทักษะการเสพข้อมูล
  2. ทักษะการวิเคราะห์ข้อมูล
  3. ทักษะการใช้เครื่องมือ

ยกตัวอย่าง = เด็กโต เมื่อครูให้การบ้านมาชิ้นหนึ่งที่ต้องการการค้นคว้าหาข้อมูล เด็กจะเข้าไปในเน็ตแล้วใช้เครื่องมือค้นหาสักชิ้นหนึ่ง เช่น กูเกิ้ล ผลลัพธ์ที่ได้มีเป็นร้อยๆ จนถึงหลักแสน เด็กจะต้องเสพข้อมูลมหาศาลนี้เพื่อเขียนรายงานส่งครูตามกำหนด ดังนั้นจึงไม่สามารถอ่านทั้งหมดได้แน่นอน เด็กจึงจำเป็นต้องฝึกทักษะการคัดสรรแล้วอ่านด้วยความเร็วที่ใช้ได้ ควรอ่านชิ้นไหนและไม่อ่านชิ้นไหน รู้ได้อย่างไรว่าชิ้นไหนเป็นเอกสารชั้นต้นและน่าเชื่อถือ ชิ้นไหนเป็นเอกสารที่คัดลอกกันต่อๆมาหรือไม่น่าเชื่อถือ เป็นต้น และเมื่อลูกเข้าโซเชียลมีเดีย ก็ควรได้ฝึกทักษะนี้อยู่เสมอ ควรอ่านข่าวอะไรและไม่ควรอ่านข่าวอะไร ควรใส่ใจการสนทนาอะไร และไม่ควรสนใจการสนทนาอะไร เป็นต้น หรือ ดราม่าไหนน่าสนใจ และดราม่าไม่ควรเสียเวลาด้วย คือทักษะที่ต้องการการฝึกฝน นี่คือขั้นที่ 1ทักษะการเสพ

เมื่อได้ข้อมูลที่ผ่านการคัดสรรมาระดับหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือวิพากษ์ ข้อมูล ข้อมูลที่ได้มามีความน่าเชื่อถือระดับใด เรามีข้อแย้งหรือเห็นต่างอะไรบ้าง ด้วยเหตุผลอะไร เหตุผลนั้นควรมาจากความฉลาดทางปัญญา มิใช่อารมณ์
จากวิพากษ์ถึงวิเคราะห์ สามารถวิเคราะห์ไปจนถึงสังเคราะห์ ความรู้ใหม่ จะทำเช่นนี้ได้เมื่อเด็กได้เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ บางสิ่งเป็นข้อมูล บางสิ่งเป็นข่าวสาร และบางสิ่งเป็นความรู้ นี่คือขั้นที่ 2 ทักษะการวิเคราะห์

เด็กไม่เพียงใช้ไอทีเป็น แต่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือไอทีที่เหมาะสมเป็นด้วย เพราะเครื่องมือไอทีพัฒนาทุกปีด้วยความเร็วที่น่าตกใจ เพียงไม่กี่ปีเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็ไม่สามารถทำงานได้รวดเร็วทันการณ์ เหตุเพราะเราไม่สามารถทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะได้ทุกเวลา เราทำงานได้เร็วกว่าและอาจจะดียิ่งกว่าจากทุกสถานที่และเวลาเมื่อใช้สมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตที่สะดวกใช้และเป็นมิตรกับผู้ใช้

ยกตัวอย่าง เด็กโตหรือวัยรุ่น ในประเทศที่มีขนส่งมวลชนหลากหลายทั้งรถเมล์ รถไฟใต้ดิน รถไฟ รถยนต์ และเครื่องบิน การเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งสามารถคำนวณความเร็วและราคาได้ด้วยเครื่องมือไอทีและแอปพลิเคชั่นที่เหมาะสม ต่างจากการสำรวจเส้นทางและราคาในเอกสารกระดาษทีละแผ่นๆอย่างมาก ความเร็วที่ต่างกันถึงที่หมายเร็วช้าต่างๆกัน การทำงานก็เช่นกัน ใครเร็วกว่าด้วยความถูกต้องมากกว่ามีโอกาสมากกว่า นี่คือขั้นที่ 3 ทักษะการใช้เครื่องมือ

จะเห็นว่าเมื่อเด็กๆ เข้าสู่โซเชียลมีเดีย พ่อแม่คาดหวังว่าเขาจะมีทักษะไอทีทั้ง 3 ประการนี้ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามจะดีหรือไม่ดีขึ้นกับคำสำคัญคำหนึ่งคือ เป้าหมายเด็กๆเข้าสู่โซเชียลมีเดียโดยมีเป้าหมายหรือตั้งเป้าหมายอะไร เข้าไปเพื่อสนทนา เพื่อเล่นเกม เพื่ออ่านข่าว หรือเพื่อทำงาน เหล่านี้มีเป้าหมายต่างกัน และพัฒนาทักษะ 3 ประการต่างๆกัน ประเด็นจึงกลับไปที่เรื่อง “เวลา” เด็กๆ ควรบริหารเวลาอย่างไร?

อ่านต่อ >> “ภัยจากโซเชียลมีเดีย สำหรับเด็กในวัย 0-8 ปี มีอะไรบ้าง” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

เข้าโซเชียลมีเดีย เด็กเสียอะไร

​หากพูดึงข้อเสีย หรือ ภัยจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งไม่เพียงเด็กๆ ต้องบริหารเวลาขณะที่อยู่ในโซเชียลมีเดีย เด็กยังต้องบริหารเวลาเมื่ออยู่นอกโซเชียลมีเดียด้วย เพราะนอกโซเชียลมีเดียลูกยังต้องมีพัฒนาการทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมที่ยังดำเนินไป มีน้ำต้องอาบ มีข้าวต้องกิน มีงานบ้านควรทำ และที่สำคัญคือมีการละเล่นกลางแจ้งที่เป็นประโยชน์ต่อพัฒนาการกล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และพัฒนาการด้านภาษา กิจกรรมเหล่านี้ไม่มีในโซเชียลมีเดีย

ภัยจากโซเชียลมีเดีย ของเด็กๆ มีปัญหาใหญ่ที่สุด
คือ “เรื่องการเสียเวลา”

การเสียเวลา นำไปสู่การเสียโอกาสที่จะพัฒนาบุคลิกภาพตามวัย พัฒนาการของบุคลิกภาพแต่ละขั้นตอนมีเวลาวิกฤตกล่าวคือ… เด็กมีเวลาจำกัดเพียงช่วงหนึ่งในการพัฒนาแต่ละประเด็น หากเราพ่อแม่ปล่อยเวลานั้นผ่านเลยเมื่อเขาอายุมากขึ้นจะไม่สามารถพัฒนาได้อีกหรือทำได้ด้วยความยากลำบากอย่างมาก การเสียเวลากับโซเชียลมีเดียจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น

ปัจจุบันเราพบเด็กที่ไม่สบตาพ่อแม่หรือไม่สบตาคนมากขึ้น โดยมีประวัติว่าพ่อแม่ยื่นแท็บเล็ตให้เด็กเล่นตั้งแต่ก่อนอายุ 2 ขวบ บางบ้านให้เล่นขณะรับประทานอาหารและบางบ้านให้เล่นบนที่นอนก่อนนอน

แต่บ้านที่ปล่อยให้ลูกดูโทรทัศน์ตั้งแต่ก่อน 2 ขวบ หรือปล่อยให้ลูกใช้เครื่องมือไอทีตั้งแต่ก่อน 3 ขวบมากเกินไป ย่อมเสียเวลาเล่นไม่มากก็น้อย และเราไม่รู้ว่าเสียมากเท่าไรจึงขัดขวางพัฒนาการ ปัจจุบันเราจึงพบเด็กที่ไม่สามารถพูดเพื่อแสดงความต้องการได้มากขึ้น

และเมื่อแสดงความต้องการด้วยคำพูดไม่ได้เสียแล้วก็จะแสดงออกด้วยอาการอื่นมากขึ้น เช่น ร้องไห้ไม่หยุด กรี๊ดเสียงดัง ตีหัวตัวเอง ตีคนอื่น นอนดิ้นพราดๆถีบแขนขา พูดอะไรก็ไม่ฟัง ไปจนถึงอยู่นิ่งไม่ได้ เป็นต้น
​เด็กโตมีความจำเป็นต้องเล่นในสนามและเล่นอิสระพอสมควร เพราะจะช่วยพัฒนากระบวนการคิดเชื่อมโยงและคิดวิเคราะห์ อย่างเป็นระบบและเป็นองค์รวม ดังที่ Jean Piaget (1896-1980) ได้อธิบายไว้อย่างละเอียดที่สุด การปล่อยเด็กเข้าสู่โซเชียลมีเดียในแต่ละวันมากเกินไปแล้วทำให้การเล่นในชีวิตจริงน้อยเกินไปจะขัดขวางทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ดี การละเล่นทุกชนิด เด็กได้ฝึกทักษะการแก้ปัญหาเป็นองค์รวม ​ถึงขั้นตอนนี้พ่อแม่ควรสรุปได้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นเรื่องสำคัญ ช่วยพัฒนาทักษะไอทีซึ่งเป็น 1 ใน 3 ทักษะสำคัญของทักษะศตวรรษที่ 21 แต่ทำให้เสียเวลา
​ซึ่งเวลาที่เสียนั้นไม่เพียงกระทบพัฒนาการบุคลิกภาพ แต่กระทบความสามารถในการพัฒนาทักษะเรียนรู้ และทักษะชีวิตซึ่งเป็นอีก 2 ใน 3 ทักษะศตวรรษที่ 21 ด้วย

ทักษะเรียนรู้ ได้แก่

1.ความสามารถในการคิดวิพากษ์
 2.สื่อสารความคิด
 3.ทำงานเป็นทีม
 4.มีความคิดสร้างสรรค์

​ทักษะชีวิต ได้แก่

1.ความสามารถในการกำหนดเป้าหมาย
 2.วางแผน
 3.ตัดสินใจ
 4.ลงมือทำ
 5.รับผิดรับชอบการกระทำ
 6.มีความยืดหยุ่น

ทักษะเรียนรู้และทักษะชีวิตไม่พัฒนาเท่าไรนักในโซเชียลมีเดีย แต่จะพัฒนาได้ดีกว่า มากกว่า และเร็วกว่าในการเล่นจริงๆ ทำงานจริงๆ และมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ การพูดจากันจริงๆ ด้วยการเห็นสีหน้าและท่าทาง

เพราะมนุษย์สื่อสารกันด้วยอวจนะภาษาหรือภาษาท่าทางมากกว่าภาษาพูดอยู่แล้ว หลายครั้งที่เราสื่อสารด้วยการมองหน้ามองมือ และด้วยการทำนายว่าคู่สนทนาคิดอะไร ทักษะสื่อสารด้านอวจนะภาษาไม่สามารถฝึกได้ในโซเชียลมีเดีย
​แม้ว่าจะมีอิโมติคอน หรือคำอุทานอื่นใดในโซเชียลมีเดีย ก็เป็นอวจนะภาษาอย่างหยาบ ไม่มีความละเอียดอ่อนมากพอที่จะเข้าใจคู่สนทนาได้ถูกต้องเท่าการพบหน้ากัน นอกจากควรระวังเรื่องการเสียเวลามากเกินไปในโซเชียลมีเดียแล้วจึงมาถึงเรื่องเนื้อหา พ่อแม่ควรระวังอะไรเมื่อลูกเข้าโซเชียลมีเดีย

อ่านต่อ >> “ภัยจากโซเชียลมีเดีย สำหรับเด็กในวัย 0-8 ปี มีอะไรบ้าง” คลิกหน้า 3

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

ภัยจากโซเชียลมีเดีย พ่อแม่ควรระวังอะไร เมื่อลูกเข้าโซเชียลมีเดีย

​เรื่องที่พ่อแม่ส่วนใหญ่เป็นห่วงไม่พ้นเรื่องเพศและความรุนแรง ได้แก่ เว็บโป๊ นวนิยายลามก ภาพอุจาดอนาจาร ภาพที่สื่อถึงความรุนแรงใดๆ ไปจนถึงเกมที่รุนแรง เป็นต้น เหล่านี้คือเนื้อหา

ที่จริงแล้ว เนื้อหามิใช่เรื่องควรกังวลมากจนเกินไปหากเราได้อบรมสั่งสอนไปจนถึงฝึกให้เด็กๆรู้จักกำกับเวลา กล่าวคือในแต่ละวันซึ่งมี 24 ชั่วโมง เราควรแบ่งเวลาทำอะไรมากน้อยเท่าไร การหมกมุ่นกับสิ่งใดมากเกินไปย่อมทำให้หมดเวลาไปกับการปฏิบัติภารกิจหลักทั้งนั้น เช่น รักกีฬา แต่ใช้เวลาเล่นกีฬามากเกินไปจนกระทั่งไม่ทำการบ้าน หรือรักการอ่านการ์ตูน แต่ใช้เวลาอ่านการ์ตูนมากเกินไปจนกระทั่งไม่เลื่อนระดับไปอ่านนวนิยายหรือวรรณกรรม เป็นต้น จะเห็นว่าความเสียหายมิได้เกิดจากเนื้อหามากไปกว่าที่เกิดจากเสียเวลา

วัยเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กเล็กมีพัฒนาการสำคัญทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมเป็นองค์รวมที่ต้องพัฒนา การใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากเกินไปในแต่ละวันสร้างความเสียหายมากที่สุดคือเสียเวลาพัฒนาการเป็นองค์รวม ไอทีและโซเชียลมีเดียอาจจะพัฒนาทักษะบางประการแต่ไม่พัฒนาองค์รวม

อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กเผชิญเนื้อหาที่ล่อแหลม สุ่มเสี่ยง ไปจนถึงยั่วยวน เด็กๆควรมีความสามารถอะไรเพื่อรับมือ คำตอบคือ Executive Function (EF)

Executive Function (EF) หมายถึงความสามารถระดับสูงของสมองที่ใช้ควบคุมความคิด อารมณ์และการกระทำ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

คำสำคัญ คือคำว่า สมอง ความคิด อารมณ์ การกระทำ และเป้าหมาย

เรื่องยากและทำใจยากคือเรื่องเป้าหมาย สมัยก่อนพ่อแม่และการศึกษากำหนดเป้าหมายให้เด็กๆ อายุเท่านั้นๆต้องมีความสามารถเท่านั้นๆ ตามเกณฑ์หากทำไม่ได้คือสอบตกหรือถูกตีตรา แต่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งโลกทั้งใบเล็กลง ข้อมูลข่าวสารท่วมท้น ทุกศาสนาชาติพันธุ์ปรากฏตัว เด็กคนหนึ่งจะไปได้ดีกว่าเด็กอีกคนหนึ่งเมื่อเขาสามารถกำหนดเป้าหมายเองและมี EF ที่ดีเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย (ที่ตัวเองกำหนด)

เมื่อประยุกต์เรื่องนี้กับเนื้อหาอันตรายในโซเชียลมีเดีย จะเห็นว่าพ่อแม่ไม่มีหน้าที่ห้ามเด็กเสพตรงๆ แน่นอนว่า พ่อแม่จะมีหน้าที่อยู่บ้าง เช่น ตั้งค่าความปลอดภัยในอินเทอร์เน็ต แบ่งเรทเกมหรือภาพยนตร์ แต่ไม่มีปัญญาทำได้ทั้งหมดแน่นอน ดังนั้นไม่มากก็น้อยเด็กต้องมีความสามารถจัดการตนเองเมื่อเผชิญเนื้อหาร้ายแรง หรือยั่วยวน ความสามารถนั้นคือ EF

EF ประกอบด้วย

1.การควบคุมตนเอง (self control)
2.ความจำใช้งาน (working memory)
3.การคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น (cognitive flexibility)

​1. การควบคุมตนเอง ประกอบด้วยความสามารถที่จะตั้งใจจดจ่อ ไม่วอกแวก และความสามารถที่จะประวิงเวลาที่จะมีความสุข

ความตั้งใจจดจ่อ รวมถึงตั้งใจจดจ่อกับงานที่ไม่สนุก งานน่าเบื่อ งานที่ยากและงานที่มีอุปสรรค จะเห็นว่าไอทีและโซเชียลมีเดียมักไม่น่าเบื่อ นอกจากไม่น่าเบื่อยังน่าสนุก ที่สำคัญคือมีการตอบสนองทางหน้าจอทุกเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกมที่มีรางวัลให้เป็นระยะๆ โซเชียลมีเดียจึงไม่ส่งเสริมความสามารถตั้งใจจดจ่อนี้เท่าไรนัก

การปล่อยเด็กไว้กับโซเชียลมีเดียไม่ช่วยเรื่องนี้ การทำงานบ้านน่าเบื่อ การทำการบ้านน่าเบื่อจึงช่วยเรื่องนี้ นั่นคือตั้งใจจดจ่อแม้ว่าจะไม่สนุก ไม่วอกแวก หมายถึงไม่ถูกทำให้เสียความตั้งใจจดจ่อทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน รวมทั้งจากตัวเป้าหมายเอง กล่าวคือแม้สภาพแวดล้อมจะเป็นอย่างไรก็อดทน แม้ในใจจะมีปัญหาร้อยแปดที่รบกวนอยู่ก็อดทน รวมทั้งแม้ใจร้อนจะไปให้ถึงเป้าหมายหรือเป็นเป้าหมายที่มีเดิมพันสูง ก็มีความสงบและตั้งใจจดจ่อทำงานอย่างดีที่สุด ไม่วอกแวกเพราะถูกเย้ยหยัน ไม่วอกแวกเพราะถูกท้าทาย และไม่วอกแวกเพราะอยากได้รางวัล

ความสามารถที่จะประวิงเวลาที่จะมีความสุข จะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของการควบคุมตนเอง นั่นคือความสามารถที่จะก้มหน้าก้มตาท่องหนังสือไม่ไปเล่น หรือก้มหน้าก้มตาทำงานไม่ไปพักจนกว่างานจะบรรลุเป้าหมาย ซึ่งฝึกได้เมื่อพ่อแม่หรือการศึกษาได้สร้างสภาพแวดล้อมนั้นให้เกิดขึ้นและคอยส่งเสริมให้เด็กได้พัฒนาความสามารถด้านนี้

ในทางตรงข้ามกับความมานะ ความพยายาม ความอดทน ความไม่ย่อท้อที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย ความกล้าหาญที่จะเข้าไปเผชิญโจทย์ที่ยากหรืออุปสรรค คือความสามารถที่ถอนตัวออกจากความสนุกและสิ่งยั่วยวนตรงหน้า เพื่ออะไร เพื่อเป้าหมายที่ดีกว่าในวันหน้า นี่คือ EF เมื่อเด็กเผชิญหน้าเรื่องร้ายแรงหรือสิ่งยั่วยวน เว็บโป๊หรือเกมที่ล่อแหลม ไปจนถึงความลุ่มหลงในโซเชียลมีเดียนานเกินไป เด็กจำเป็นต้องมีความสามารถที่จะควบคุมตนเองให้ถอนตัวออกมา หยุดความสนุกหรือความสุขฉาบฉวยในเวลานี้เพื่อเป้าหมายที่ดีกว่าในวันหน้า


2. ความจำใช้งานคืออะไร ความจำใช้งานมิใช่ความจำระยะสั้น ยกตัวอย่างหากเราพูดหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขหนึ่งได้ เช่น 08172496 นี่เป็นความจำระยะสั้น หากเราต้องการพูดหมายเลขโทรศัพท์นั้นกลับทาง เรามักจะชะงัก หยุดคิด แล้วค่อยเริ่มนำตัวเลขเหล่านั้นพูดกลับทาง นี่คือ ความจำใช้งาน

เวลาเราบริหารความจำจะใช้งาน สมองส่วน dorsolateral prefrontal cortex จะถูกกระตุ้นให้ทำงาน
​การบริหารความจำใช้งานให้ดีเป็นเรื่องสำคัญ เด็กและเยาวชนทุกคนสามารถท่องหนังสือได้ เช่น ติดเชื้อได้อย่างไร ตั้งครรภ์ได้อย่างไร ยาเสพติดมีโทษอย่างไร นี่คือความจำระยะสั้นซึ่งใช้ตอนเขียนสอบในสถานการณ์ห้องสอบซึ่งมิใช่สถานการณ์จริง

แต่ครั้นถึงสถานการณ์จริง คือ อยู่กับเพื่อนต่างเพศสองต่อสองในบรรยากาศที่เอื้ออำนวย และโอกาสที่เอื้ออำนวยต่อการมีเพศสัมพันธ์ หรืออยู่กับกลุ่มเพื่อนที่มั่วสุมใช้ยาเสพติดแล้วเพื่อนชักชวน ในเวลานั้นหากไม่บริหารความจำใช้งานให้คล่องแคล่วรวดเร็วทันการณ์ก็จะไม่เกิดผลทางปฏิบัติ มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันหรือใช้ยาเสพติดไปเสียแล้ว

เมื่อบริหารความจำใช้งานแล้วยังต้องมีความสามารถที่จะควบคุมตนเองให้ปฏิเสธ ถอยออกมา หรือป้องกันตัว ไปจนถึงความสามารถที่จะประวิงเวลาที่จะมีความสุข มีเพศสัมพันธ์และใช้ยาเสพติดนั้นมีความสุขแน่นอน แต่ต้องบริหารความจำใช้งานให้ทันเวลาที่จะควบคุมตนเองแล้วถอนตัวออกมาเพื่อเป้าหมายที่ให้ความสุขแท้จริงมากกว่าในอนาคต การเข้าสู่โซเชียลมีเดียจึงต้องการ EF

ความเร็วของการบริหารความจำใช้งานขึ้นกับโครงสร้างของสมองและระบบประสาทส่วนกลางด้วย กล่าวคือมีเซลล์ประสาทที่พร้อมใช้ และมีเส้นประสาทที่สื่อนำสัญญาณด้วยความเร็วสูง

กระบวนการมัยอิลิเนชั่นคือกระบวนการเพิ่มปลอกมัยอิลิน ให้แก่เส้นประสาท ทำให้เส้นประสาทสามารถสื่อนำสัญญาณประสาทได้เร็วกว่าเส้นประสาทที่ไม่มีปลอกมัยอิลินนับเป็นพันเท่า เปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงกว่าและเร็วกว่า ความจำใช้งานยิ่งถูกบริหารยิ่งช่วยให้เกิดกระบวนการเพิ่มปลอกมัยอิลินมาก กระบวนการนี้มีมากยิ่งทำให้ความจำใช้งานพร้อมใช้ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ทันเวลา

กระบวนการนี้พัฒนาได้ด้วยการให้เด็กเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ บ้านจึงควรให้เด็กๆ เล่นมากๆ และฝึกทำงานบ้าน การศึกษาจึงควรให้เด็กเรียนรู้ด้วยการลงมือทำงานจริงมิใช่เพียงท่องตำราเพื่อการสอบ 

ที่สำคัญ เด็กพิเศษทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสติปัญญาบกพร่อง สมาธิสั้น แอลดี แอสเปอร์เกอร์ หรือออทิสติกเหล่านี้ล้วนสามารถเร่งกระบวนการเพิ่มปลอกมัยอิลินด้วยการลงมือทำงานเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

สมองส่วนหน้าที่เรียกว่า prefrontal cortex เป็นส่วนที่ใช้ในการกำหนดเป้าหมาย วางแผน ตัดสินใจ ลงมือทำแล้วประเมินผลเพื่อการปรับปรุง สมองส่วนนี้อยู่ที่ด้านหน้าซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลจากศูนย์รวบรวมข้อมูลสารพัดทั้งการได้ยิน การมองเห็น การสัมผัส การได้กลิ่น การลิ้มรส และความจำใช้งาน รวมทั้งอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน ความเร็วในการสื่อนำสัญญาณประสาทจากทุกส่วนของสมองเพื่อไปประมวลที่สมองส่วนหน้านี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เด็กตัดสินใจอย่างดีที่สุดและเหมาะสมกับสถานการณ์

โลกอนาคตเด็กๆต้องใช้ไอทีอย่างชาญฉลาดได้ แต่ความสามารถที่จะใช้ไอทีอย่างชาญฉลาดมาจาก EF ซึ่งพัฒนาบนสถานการณ์จริงในโลกแห่งความเป็นจริง มิได้เกิดจากโซเชียลมีเดียที่เด็กๆมิได้ลงมือทำงานจริง


​3. การคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น หมายถึงความสามารถที่จะเปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนแผน เปลี่ยนวิธีทำงาน เปลี่ยนเป้าหมาย เปลี่ยนตัวชี้วัด ไปจนถึงเปลี่ยนกระบวนทัศน์ อันเป็นความสามารถระดับสูงของสมองและของ EF

​การอยู่ในโซเชียลมีเดียมีส่วนในการพัฒนาวิธีคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น การท่องหนังสือวันละหลายชั่วโมงเพื่อสอบให้ได้เก่งที่สุดก็มีส่วนในการพัฒนาวิธีคิดวิเคราะห์อย่างยืดหยุ่น แต่มีคำถามว่าพอเพียงหรือไม่และรอบด้านมากพอหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับการละเล่นจริงๆในสนาม การฝึกช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน และการศึกษาโดยใช้กระบวนการเรียนรู้ผ่านการทำงาน

สุดท้าย หากพูดถึง ภัยจากโซเชียลมีเดีย ในการที่ลูกเข้าโซเชียลมีเดีย สิ่งที่พ่อแม่ต้องระวัง คือ เนื้อหาทุกชนิดแน่ แต่เรื่องจะง่ายขึ้นหากพ่อแม่สามารถฝึกลูกให้ควบคุมเวลา บริหารเวลา และจัดการเวลา ด้วย EF ที่ดี นี่จึงเป็นโจทย์ท้าทายคุณพ่อคุณแม่สำหรับศตวรรษใหม่นี้นั่นเอง

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!


บทความโดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ จากนิตยสาร Amarin Baby & Kids ฉบับเดือน ก.พ. 2560