มีคุณแม่ท่านหนึ่ง แชร์ประสบการณ์ที่ต้องสูญเสีย น้องจั่นเจา ลูกชายวัย 2 เดือนไปอย่างไม่มีวันกลับ จากอาการเริ่มแรกคือลูกมีอาการไอมาก ไอจนตัวตัวงอ หน้าเขียว คุณแม่จึงพาลูกน้อยไปพบคุณหมอหลายครั้ง จนสุดท้ายพบว่าลูกน้อยเป็น โรคปอดอักเสบ และติดเชื้อในกระแสเลือด
13 มีนาคม 2561
คุณแม่สังเกตอาการอยู่ประมาณ 2-3 วัน น้องยังไม่หาย จึงพาไปพาหมอที่คลินิกเด็กแห่งหนึ่ง ที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช คุณหมอตรวจแล้วบอกว่า เด็กเป็นหวัด จึงให้ยามา 2 ชนิด น่าจะเป็นยาแก้อักเสบ (ยาเป็งผงให้ละลายกับน้ำผสมน้ำหวาน) กับยาแก้ไอ คุณแม่ให้น้องรับประทานยาอยู่ 1 วัน แต่น้องก็ยังไม่หายไอ จึงปรึกษากับคุณพ่อว่าให้พาน้องไปที่โรงพยาบาลดีกว่า เพราะอุปกรณ์การตรวจจะครบมากกว่า
14 มีนาคม 2561
เวลาช่วงเย็น คุณแม่พาน้องไปโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อรักษา พบคุณหมอเป็นผู้หญิง (จำชื่อไม่ได้) ทำการตรวจ แล้วแจ้งว่า น้องไอธรรมดา ไม่มีไข้ ปอดและการหายใจปกติ จึงให้ยาแก้ไอมารับประทาน 1 ขวด คุณพ่อกับคุณแม่จึงพาลูกกลับบ้าน ให้รับประทานยาอยู่ 1 วัน แต่น้องก็ยังไอไม่หยุด ไอมากขึ้น ไอจนตัวงอ หน้าแดง ปากเขียว จึงพาน้องไปที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง
16 มีนาคม 2561
เวลาเช้า พบคุณหมอผู้ชาย (จำชื่อไม่ได้) ทำการตรวจ คุณหมอสอบถามอาการ คุณแม่ก็บอกอาการว่า ลูกไอมาก ไอจนตัวงอ หน้าแดง ปากเขียว หมอจึงทำการตรวจหัวใจ บอกว่าน้องหายใจปกติ ปอดก็ปกติ และบอกว่าโดยปกติเด็กเล็กไม่สามารถจ่ายยาให้ได้ แต่จะสอนเคาะปอดเวลาลูกไอ และให้สั่งจ่ายลูกยางแดงสำหรับดูดเสมหะ และน้ำเกลือล้างจมูกให้ลูก ถ้าลูกมีน้ำมูก
คุณแม่และคุณพ่อพาลูกน้อยไปที่ห้องฉุกเฉิน เพื่อให้พยาบาลสอนเคาะปอด และรับลูกสูบยางแดง กับน้ำเกลือกลับบ้าน เมื่อกลับมาบ้านลูกน้อยก็ยังไอมากเหมือนเดิม แต่ด้วยความที่คุณพ่อและคุณแม่ได้คุยกับคุณหมอที่โรงพยาบาลถึง 2 ครั้ง คุณพ่อคุณแม่จึงเชื่อการรักษาของหมอว่าเดี๋ยวลูกน้อยก็คงหาย เพราะมีอาการไอแค่อย่างเดียวโดยที่ไม่มีไข้
28 มีนาคม 2561
น้องตัวร้อน คุณแม่วัดไข้ได้ 38.3 องศา คุณแม่ทำการรักษาเบื้องต้น โดยการเช็ดตัวให้น้องแล้ววัดไข้อีกรอบ จนไข้ลดลงเหลือ 36.8 องศา
29 มีนาคม 2561
เช้าวันนั้นคุณแม่กับคุณพ่อพาน้องไปที่คลินิกเด็กแห่งเดิมที่เคยพาน้องไป เพราะมีไข้ และเริ่มอ่อนแรง คุณหมอทำการตรวจและบอกว่า ลงปอดแล้ว ให้รีบส่งตัวเด็กไปที่โรงพยาบาลในตัวเมืองด่วน คุณพ่อกับคุณแม่จึงพาน้องไปที่โรงพยาบาลเดิมอีกครั้ง เพื่อทำการรักษา และส่งตัวไปที่โรงพยาบาลที่ใหญ่กว่า
มาครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตรงจุดคัดกรองเห็นน้องแล้วตกใจ เพราะน้องอาการไม่ค่อยดี เลยให้พาน้องเข้าห้องฉุกเฉิน เข้าไปพบคุณหมอผู้ชายคนเดิมที่เคยรักษาครั้งที่ 2 คุณหมอซักประวัติ คุณแม่จึงบอกรายละเอียดไปว่าพาลูกน้อยมาที่นี่ 2 ครั้งแล้ว ไม่ทำการรักษา และไม่จ่ายยาอะไรให้เลย
พยาบาลในห้องฉุกเฉินถามว่าน้องมีไข้มากี่วันแล้ว คุณแม่บอกว่าก่อนหน้านี้น้องไม่มีไข้เลย แค่ไออย่างเดียว มารักษาที่นี่ก็ไม่ได้รับการรักษา แต่สอนให้เคาะปอดเท่านั้น
พยาบาลถามว่า น้องเป็นไข้ทำไมคุณแม่ไม่ให้รับประทานยาลดไข้ คุณแม่จึงบอกว่าให้รับประทานยาลดไข้ได้ยังไง ในเมื่อคุณหมอที่นี่ไม่ได้จ่ายยาให้ พยาบาลบอกว่ายามีขายใน 7-11
เมื่อคุณพ่อได้ยินแล้วก็โมโหมาก และบอกว่าใครจะกล้าซื้อยาให้ลูกกินเอง ในเมื่อพาน้องมาพาหมอถึง 2 ครั้ง หมอยังไม่จ่ายยาให้น้องเลย สอนแค่เคาะปอดและบอกว่าน้องไอธรรมดา หลังจากการสนทนาเรื่องอาการน้องจบลง คุณหมอก็บอกว่า น้องปอดบวม หายใจแรง และหอบมากเลยต้องให้ออกซิเจน และบอกกับคุณพ่อคุณแม่ว่า ถ้าอาการดีขึ้นก็จะให้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แต่ด้วยความไม่มั่นใจในการรักษาและอาการของน้องที่เป็นหนัก คุณแม่จึงอยากให้ส่งตัวน้องไปที่โรงพยาบาลใหญ่ในจังหวัด คุณหมอเห็นอาการน้องไม่ดี จึงติดต่อโรงพยาบาลใหญ่เพื่อส่งตัว แต่ที่โรงพยาบาลนั้นออกซิเจนเต็ม จึงติดต่อประสานงานไปที่โรงพยาบาลมหาราชจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ประจำจังหวัดเพื่อส่งตัวน้องไป
น้องรักษาอยู่ในออภิบาลผู้ป่วยเด็กวิกฤต หรือ PIC คุณหมอที่โรงพยาบาลมหาราชจังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกคุณพ่อคุณแม่ไปคุยเรื่องอาการของน้อง บอกว่า น้องปอดบวมทั้ง 2 ข้าง ติดเชื้อในปอด และลามไปติดเชื้อที่กระแสเลือดขั้นรุนแรง ทำให้น้องหายใจลำบาก ต้องสวมเครื่องช่วยหายใจ และให้ยารักษาปอดบวม ผลเลือดออกมา คิดค่าเม็ดเลือดขาวสูงถึง 92,000 จนคุณหมอตกใจ คุณหมอบอกว่าน้องอาการไม่ดีเลย คุณพ่อคุณแม่ต้องทำใจเผื่อเอาไว้บ้าง เนื่องจากติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง
อ่านต่อ “โรคปอดอักเสบ เสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือด อันตราย!!” คลิกหน้า 2
น้องจั่นเจา ทำการรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลมหาราชจังหวัดนครศรีธรรมราชอยู่ 6 วัน อาจการไม่ดีขึ้นเลย และมีอาการอย่างอื่นแทรกซ้อน เช่น ปัสสาวะเองไม่ได้เนื่องจากไตทำงานผิดปกติต้องให้ยาเพื่อขับปัสสาวะออกมา เกลือแร่ในร่างกายต่ำต้องให้เกลือแร่ อุณหภูมิในร่างกายไม่คงที่ขึ้นๆ ลงๆ แต่คุณหมอก็ทำการรักษาอย่างเต็มที่ด้วยอาการทรงๆ ทุกวัน
4 เมษายน 2561
ช่วง 9 โมงเช้า คุณหมอเรียกคุณพ่อและคุณแม่ไปคุยเรื่องอาการของน้อง คุณหมอบอกว่า น้องอาการหนัก เพราะช็อก ความดันวัดไม่ได้เลย จากเดิมที่ความดันปกติ คุณหมอให้ยากระตุ้นความดัน และยาตัวอื่นๆ เพื่อรักษาอาการของน้อง ให้ส่วนประกอบของเลือดเนื่องจากเม็ดเลือดน้องมีปัญหาจากการติดเชื้อขั้นรุนแรง และต้องทำการผ่าตัดเส้นเลือดตรงขาอเพื่อให้ยาทางเส้นเลือด แต่ครั้งนี้คุณหมอบอกว่า พ่อกับแม่ทำใจไว้ให้เยอะๆ เพราะโอกาสที่น้องจะอยู่กับเรามีน้อยมาก และบอกให้คุณพ่อคุณแม่รออยู่ด้านนอก
เวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ คุณหมอเรียกคุณพ่อคุณแม่ไปพบอีกครั้ง แจ้งอาการว่าความดันน้องวัดค่าไม่ได้เลย คุณแม่หันไปมองน้อง สังเกตเห็นปากน้องเริ่มเขียว แต่คุณหมอจะทำการรักษาต่อ
จนกระทั่งถึงเวลาเยี่ยม 14.00-15.00 น. น้องอาการไม่ดีขึ้น คุณหมอเรียกมาคุยอีกครั้ง พร้อมกับบอกว่า ความดันน้องวัดค่าไม่ได้ หัวใจน้องเริ่มเต้นช้าลง ถ้ากรณีหัวใจน้องหยุดเต้น คุณพ่อกับคุณแม่จะให้ปั๊มหัวใจหรือไม่ คุณพ่อคุณแม่จึงตัดสินใจว่าไหนๆ ก็รักษามาถึงขนาดนี้แล้วก็ขอให้รักษาไปจนสุด คุณหมอจึงทำการปั๊มหัวใจน้องอีกรอบ
เวลา 15.30 น. น้องหายใจช้าลงจนคุณหมอต้องปั๊มหัวใจ แต่น้องก็ไม่สามารถหายใจได้แล้ว คุณพ่อกับคุณแม่จึงตัดสินใจบอกให้คุณหมอหยุดการปั๊มหัวใจ จนน้องจากไปอย่างสงบ
ถึงแม้ว่าในวันนี้คุณแม่จะยังทำใจไม่ได้ แต่คุณแม่ก็อยากจะบอกเล่าเรื่องราวให้กับทุกคนไว้เป็นอุทาหรณ์ และด้วยความหวังว่าผลบุญกุศลในครั้งนี้จะถ่ายทอดไปยังเทวดาตัวน้อยของแม่ได้
ทีมงาน Amarin Baby and Kids ขอขอบพระคุณคุณแม่ Junjira ครอบครัวตัว จ มาก ๆ นะคะ ที่อนุญาตให้ทีมงานนำเรื่องราวนี้มาเผยแพร่ และทีมงานก็ขอเป็นส่วนหนึ่งในการมอบกำลังใจให้กับทั้งคุณพ่อและคุณแม่ได้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปค่ะ ขอขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
คุณพ่อคุณแม่คะ เมื่อไหร่ก็ตามที่พบว่า ลูกไอมาก ไอจนถึงขั้นตัวงอ สีของใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวละก็ อย่ารอช้านะคะ รีบนำพาตัวลูกส่งโรงพยาบาลโดยทันที เพราะอาการที่ว่า อาจเป็นสัญญาณบอกว่า ลูกอาจจะเป็นโรคปอดบวมได้ค่ะ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทีมงานขออนุญาตนำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับโรคปอดบวมที่ว่านี้ให้ทราบเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ
ลูกไอมากผิดปกติ สัญญาณเสี่ยงของการเป็นโรคปอดอักเสบ
โรคปอดอักเสบและโรคปอดบวม มีความหมายคล้ายคลึงกันมากจนใช้เรียกแทนกันได้ แต่นิยมเรียกโรคปอดอักเสบมากกว่า โดยโรคปอดอักเสบนั้น เป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจที่พบมากในเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และเป็นสาเหตุการตายในเด็กที่สูงถึง 1.6 ล้านคนต่อปี จากจำนวนผู้ป่วย 156 ล้านคนต่อปีทั่วโลก ปัจจัยสำคัญของการเกิดโรค นั้นมีด้วยกัน 3 ข้อดังนี้ค่ะ
- จากตัวเด็กเอง:จากข้อมูลของหน่วยระบบหายใจและไอซียู สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ทำให้ทราบว่า โรคปอดบวมคือโรคที่อยู่ในกลุ่มอาการไข้หวัด และปอดบวม และสำหรับโรคปอดบวมมักจะเกิดขึ้นตามหลังอาการไข้หวัด ที่เรียกว่า หวัดลงปอดนั้น สามารถพบได้บ่อยกับเด็กในช่วงอายุ 3 เดือน – 2 ขวบ นอกเหนือจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการที่ลูกได้รับการฉีดวัคซีนไม่ครบ ยกตัวอย่างเช่น วัคซีนโรคไอกรน วัคซีนโรคหัด วัคซีนโรคฮิบ อีกทั้งไม่ได้กินนมแม่ และมีความผิดปกติของทางเดินหายใจ เป็นต้น
- สิ่งแวดล้อม:ยกตัวอย่างเช่น การอยู่ในสถานที่ที่แออัด อาการถ่ายเทได้ไม่สะดวก หรือที่บ้านมีฝุ่นละอองเยอะ รวมถึงมีสมาชิกในบ้านสูบบุหรี่เป็นประจำ เป็นต้น
- เชื้อโรค:อาจมีการระบาดของเชื้อโรคบางชนิด และได้รับการติดเชื้อนั้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไข้หวัดใหญ่
อาการที่พบ
- อาการเริ่มต้น: ลูกเริ่มมีไข้ อาการโดยทั่วไปคล้ายกับโรคไข้หวัดใหญ่ และพบว่า ลูกไอมาก หอบเหนื่อย หน้าอกกระเพื่อม แพทย์ฟังปอดแล้วได้ยินเสียง “กร๊อบแกร๊บ” ในปอด
- อาการระยะปอด: ลูกไอมาก กว่าเดิม มีไข้สูง อ่อนเพลีย ซึม คุณหมอเอ็กซเรย์แล้วพบว่า ปอดเป็นรอยฝ้าขาวผิดปกติ เป็นต้น
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือ ให้ลูกดื่มนมแม่ให้นานที่สุด หลีกเลี่ยงการพาลูกไปยังสถานที่ที่มีคนเยอะหรือมีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก พาลูกไปฉีดวัคซีนให้ครบอย่าได้ขาด และที่สำคัญ พยายามให้ลูกอยู่ห่างกับคนที่สูบบุหรี่ค่ะ เพราะควันบุหรี่ หรือละอองควันที่ติดอยู่บนเสื้อผา ผม หรือนิ้วมือนั้น ก็สามารถส่งผลกระทบกับลูกได้แล้ว
คุณพ่อคุณแม่ เมื่อไรก็ตามที่เริ่มสังเกตว่า ลูกไอมาก แสดงท่าทีหอบเหนื่อย หรืออ่อนเพลีย มีไข้สูง อาเจียน อย่ารอช้าโดยเด็ดขาดค่ะ เพราะนั่นคือสัญญาณที่กำลังบอกว่า ลูกอาจเป็นโรคปอดอักเสบหรือปอดบวมก็เป็นได้ ดังนั้นอย่ารอช้าค่ะ ให้รีบนำลูกส่งโรงพยาบาลโดยทันที
ขอบคุณที่มา: Haarmor
อ่านต่อเรื่องอื่นที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่