AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

เตือนพ่อแม่! ระวังลูกหลานโดน งูกัด ช่วงหน้าฝน!

แม่แชร์! หากวันนั้นไม่ได้คุณยายช่วยไว้ ลูกชายวัย 3 ปี คงถูก งูกัด ไปแล้ว!!

 

 

คุณแม่แนน หนึ่งในสมาชิกของเพจ Amarin Baby and Kids ได้ส่งเรื่องราวที่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวเองกับทีมงานว่า หากในวันนี้ไม่ได้คุณยายช่วยลูกชายวัย 3 ขวบแล้วละก็ ลูกชายคงจะต้องเจ็บตัวไปแล้ว

โดยคุณแม่เล่าว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นเกิดในขณะที่ลูกชายของตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงประตูบ้านและคุณยายกำลังจะป้อนข้าว ก็สังเกตเห็นบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ที่พุ่มไม้ คุณยายจึงรีบเดินไปดู พอเห็นเป็นงูกำลังเลื้อยเข้าไปหาหลานจึงได้รีบวิ่งเข้าไป ซึ่งเป็นเวลาที่งูกำลังจะฉกหลานชายพอดี!!

ทำให้คุณยายถูก งูฉกเอาที่มือ คุณแม่จึงรีบพาไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่างูที่กัดนั้นเป็นงูอะไร และมีพิษหรือไม่ เพราะฉะนั้นคุณหมอจึงต้องให้ยายนอนสังเกตอาการตลอด 24 ชั่วโมง โดยคุณหมอก็ให้ตรวจเลือดทุก ๆ 6 ชั่วโมง เพื่อตรวจวัดผล อาการของคุณยายตอนนี้มือบวมมาก (จากที่เห็นในรูปนั้น คุณแม่เล่าว่า นี่ยุบลงไปเยอะมาก ๆ แล้ว)

คุณหมอบอกว่า หน้าฝนนี้เป็นหน้าที่งูและตะขาบชุมมาก ไม่ใช่แค่โรคทางเดินหายใจเท่านั้นที่พวกเราทุกคนต้องระวัง  เจ้าอสูรพิษร้ายที่ชอบมากับฤดูฝนนี่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านไหนที่มีลูกเด็กเล็กแดง คุณหมอกล่าวต่ออีกว่าสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ มีคนไข้ที่เข้ามารับการรักษาตัวเพราะถูก งูกัด เยอะมาก คุณแม่จึงอยากนำเรื่องราวนี้มาแชร์ และเตือนทุก ๆ ครอบครัวได้โปรดระวัง เพราะถ้าวันนี้ไม่ได้คุณยายช่วยชีวิตลูกชายไว้ คุณแม่ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน

อ่านต่อวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ที่หน้าถัดไป!


เครดิต: ขอบคุณคุณแม่แนน สมาชิกเพจ Amarin Baby and Kids

 

 

คุณพ่อคุณแม่ทราบไหมคะว่า ช่วงไหนที่พบว่ามีผู้ป่วยถูกงูกัดเยอะที่สุด? คำตอบก็คือ ช่วงหน้าฝน นับไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปจนถึงพฤศจิกายน จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ถูกงูกะปะกัดมากเป็นอันดับหนึ่งในภาคใต้ รองลองมาคือ งูเขียวหางไหม้และงูเห่าในภาคกลาง

งูที่มีพิษมีทั้งสิ้น 2 ประเภท และแบ่งตามลักษณะของพิษงู ดังนี้

  1. พิษต่อระบบประสาท ตัวอย่างเช่น งูจงอาง งูเห่า งูสามเหลี่ยม และงูทะเล สำหรับกลุ่มนี้ที่พบบ่อยคือ “งูเห่า” โดยจะทำให้ผู้ถูกกัดมีอาการได้ ภายใน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ ตาพร่ามัว หนังตาตก พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้เอง หายใจไม่สะดวก และอาจจะหยุดหายใจ จนทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

2. พิษต่อโลหิต ตัวอย่างเช่น งูแมวเซา งูเขียวหางไหม้ และงูกะปะ ที่พบมากโดยเฉพาะในเขตตัวเมือง คือ “งูเขียวหางไหม้” เมื่อถูกกัดได้รับพิษปริมาณน้อย จะมีอาการปวดหรือบวมบริเวณที่ถูกกัดเท่านั้น แต่ถ้าได้รับพิษปริมาณมาก
จะทำให้เลือดออกไม่หยุดตามที่ต่าง ๆ ในรายที่อาการรุนแรงมาก จะไอเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด และปัสสาวะเป็น
เลือดได้

เนื่องจากพิษงูประกอบด้วยโปรตีนและเอนไซม์ หลายชนิดและล้วนมีผลต่อบริเวณที่ถูกกัดและทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ทั่วร่างกาย อาการจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น

อ่านต่อได้ที่หน้าถัดไปเลยค่ะ

 

เครดิต: Istock

อาการเมื่อถูกงูมีพิษกัด

นอกจากนี้อาจมีอาการทั่วไปอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น มีไข้ หมดสติ ความดันโลหิตต่ำ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดิน ท้องเสีย หรืออาการแพ้พิษงูเช่น บวม แดง ขึ้นผื่นคันอาจทั้งตัว เป็นต้น

ทำอย่างไรเมื่อถูกงูกัด

 

 

วิธีปฐมพยาบาลคนถูกงูกัด

  1. รีบดูให้แน่ใจว่างูที่กัดเป็นงูอะไร พยายามจดจำ สี รูปร่าง ลักษณะศีรษะ ถ้าเป็นไปได้ ควรนำเอาตัวงู มาให้แพทย์
    ดูด้วย เพราะจะได้ทำการรักษาให้ตรงกับชนิดของงู แต่ถ้าไม่สามารถทำได้จริง ๆ ก็ไม่เป็นไรค่ะ อย่าเสียเวลา เพราะยิ่งนานพิษร้ายก็อาจเข้าสู่ร่างกายได้
  2. ใช้เชือกรัดเหนือบริเวณที่ถูกกัดเล็กน้อย ไม่ควรรัดแน่น เนื่องจากจะทำให้เนื้อบริเวณนั้นขาดเลือด และในบางส่วน เช่น นิ้ว ไม่ควรรัดบริเวณนิ้ว แต่ควรรัดบริเวณส่วนข้อมือ หรือข้อเท้าแทน ทั้งนี้ควรมีการคลายที่รัดไว้เดิมทุก ๆ 15 นาที
  3. ควรให้บริเวณที่ถูกกัด มีการขยับน้อยที่สุด
  4. ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือล้างแผล ไม่ควรใส่ยาสมุนไพร เพราะจะทำให้แผลมีโอกาสติดเชื้อได้เพิ่มขึ้น
  5. ไม่ควรให้ดื่มสุรา หรือยาที่มีสุราเจือปนโดยเด็ดขาด
  6. อย่าใช้ปากดูด หรือกรีดแผล หรือรีดแผล รวมถึงการใช้ไฟฟ้าจี้ เนื่องจากจะทำให้แผลมีโอกาสติดเชื้อมากขึ้น
  7. รีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อทำการรักษาตั้งแต่เบื้องต้น ไม่ควรรักษาเอง หรือทานยาเอง
  8. ระหว่างที่นำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลนั้น คอยสังเกตอาการที่ผิดปกติ เพื่อจะได้บอกแพทย์ได้อย่างถูกต้อง

วิธีป้องกันก็คือ ควรเก็บบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ตัดหญ้า ตัดต้นไม้บ้าง และในเวลาพลบค่ำ ไม่ควรที่จะเดินไปยังบริเวณที่รกรุงรัง เมื่อเจองู ควรหลีกทันที ถ้ากระชั้นชิด ควรยืนนิ่ง ๆ แล้วถอยออกมา มาช้า ๆ เพราะงูจะไม่ทำร้ายคนก่อนแต่จะกัดเพื่อป้องกันตัว

เครดิต: หาหมอ และ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะเวชศาสตร์เขตร้อน

อ่านต่อเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids