นอนคลุมโปง ไม่ดี ต่อสุขภาพ… เพราะเวลาที่หายใจออกเราจะเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาด้วย ดังนั้นการคลุมโปงจึงเป็นการกักคาร์บอนไดออกไซด์เอาไว้หายใจ สมองจึงขาดออกซิเจนที่เพียงพอนั่นเอง
นอนคลุมโปง ไม่ดี เสี่ยงลูกสมองเสื่อม
ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่มีเจ้าตัวเล็ก ที่มีอาการชอบนอนคลุมโปงบ่อย ๆ คงเป็นเรื่องไม่ดีแน่ เพราะการนอนคลุมโปงจะทำให้อากาศที่ใช้หายใจมีจำกัดและไม่ถ่ายเท ส่งผลให้มีคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้น ซึ่งลูกก็จะหายใจเอาก๊าซที่ว่าเข้าไปด้วยซึ่งก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของสมองลดลง ส่งผลต่อการทำงานของสมองเสื่อมเร็วขึ้น
อาการเสื่อมถอยของสมองไม่ใช่แค่การหลงลืม แต่รวมถึงอาการขาดสมาธิ ภาวะความตื่นตัวของสมอง ความสามารถในการเรียนรู้จดจำสิ่งใหม่ รวมถึงความสามารถในการวิเคราะห์ด้วย
ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกเข้านอนแต่หัวค่ำ และนอนในท่าที่ถูกต้องด้วย เพราะภายในร่างกายคนเรามีนาฬิกาชีวภาพอยู่ หากเราเข้านอนในเวลาที่ร่างกายหลั่งสารเมลาโทนิน ก็จะทำให้ร่างกายและสมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมเรียนรู้อย่างเต็มกำลัง
Must read : 7 วิธี เสริมความฉลาด สร้างเซลล์สมอง ลูกน้อย
Must read : 11 วายร้าย!! ทำลายสมองลูก
ซึ่งด้าน นพ.ยุทธชัย ลิขิตเจริญ อาจารย์ประจำหน่วยประสาทวิทยา ฝ่ายอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ภาวะสมองเสื่อม แบ่งกลุ่มอาการออกเป็น 2 ประเภท คือ
- กลุ่มอาการที่เซลล์สมองเสื่อมไม่สามารถรักษาและหยุดการดำเนินของโรคได้ เช่น อัลไซเมอร์ จะพบมากที่สุดในกลุ่มนี้
- เซลล์สมองเสื่อมที่สามารถรักษาและหยุดการดำเนินโรคได้เช่น เซลล์สมองเสื่อมที่เกิดจากปัญหาหลอดเลือดสมอง อาการทางจิต โรคซึมเศร้า หรือขาดวิตามินบางตัว คือ วิตามินบี 12 และโฟเลต ซึ่งการขาดวิตามินพบได้น้อย มักพบในกลุ่มผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง
ดังนั้น การรักษาอาการเซลล์สมองเสื่อม จึงต้องคัดกรองหาสาเหตุเพื่อรักษาให้ตรงกับการเจ็บป่วย โดยเฉพาะกลุ่มที่สามารถรักษาได้ จะมีโอกาสกลับมาได้เกือบเหมือนเดิม
นอกจากการนอนคลุมโปง จะเป็นการทำลายสมองของลูกน้อย ยังมีเรื่องที่สามารถทำลายประสิทธิภาพการทำงานของสมอง ของลูกน้อยให้ลดลงอีกด้วย ดังนี้
อ่านต่อ >> “พฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการทำลายสมองของลูกน้อย” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
1. นอนไม่พอ
เพราะการนอนหลับ เป็นวิธีสำคัญมากเพราะจะทำให้สมองฟื้นฟูจากความอ่อนเพลีย หากนอนไม่พอเป็นเวลานานหรือคุณภาพในการนอนต่ำเกินไป จะเร่งให้เซลล์สมองเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งแม้แต่คนฉลาดหลักแหลมก็กลายเป็นคนป้ำๆเป๋อๆเลอะเลือนได้ การอดนอนจะทำให้เซลล์สมองตาย ดังนั้นการนอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้เซลล์สมองเติบโตและมีความจำดี
2. ไม่ฝึกใช้สมอง
การคิดเป็นวิธีฝึกสมองที่ดีที่สุด การไม่ยอมใช้สมองมีแต่จะเร่งให้สมองเสื่อมถอยเร็วยิ่งขึ้น และกลายเป็นคนสมองพิการได้ในที่สุด
3. คิดฟุ้งซ่าน
ใครที่ว่ายิ่งใช้สมองยิ่งเฉียบคม คือต้องใช้สมองบนพื้นฐานสมเหตุสมผลเท่านั้นนะคะ เพราะหากใช้สมองในความคิดที่ฟุ้งซ่านตลอดวัน วิตกจริตเกินเหตุ ล้วนมีโทษต่อสมองมากกว่าให้ประโยชน์ต่อสมองทั้งสิ้น
Must read : คลายเครียดให้ตัวเล็กขี้กังวลวัย 3-6 ขวบกันเถอะ
4. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย
ในสภาพร่างกายไม่ค่อยสบายหรือล้มป่วย แต่ยังฝืนทนใช้ความคิด ไม่เพียงงานมีประสิทธิภาพต่ำ สมองยังอาจได้รับผลกระทบอีกด้วย
5. ใช้สมองคิดเวลาท้องหิว
เมื่อเราหิว สมองของเราจะไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ น้ำตาลกลูโคสในเลือดของสมองต่ำกว่าปกติ หากเป็นเช่นนี้บ่อยๆ จะเป็นการทำร้ายสุขภาพสมอง ลดความสามารถในการคิดการอ่าน
ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการ บริโภคของหวานมากเกินไป โดยเฉพาะเด็กที่รับประทานของหวานมากเกินไป มักจะมีไอคิวต่ำ เนื่องจากได้รับโปรตีนและวิตามินต่างๆ ในปริมาณน้อย ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของสมอง
อ่านต่อ >> “เทคนิคการฝึกสมองลูกให้มีสุขภาพดี” คลิกหน้า 3
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
เทคนิคการฝึกสมองสุขภาพดี โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด ซึ่งการดูแลสมองให้มีสุขภาพดี เป็นเรื่องสำคัญ เพราะสมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต คุณพ่อคุณแม่จึงควรบริหารสมองให้ลูกให้ไบรท์ สดใส มีประสิทธิภาพพร้อมใช้งาน เพื่อการเรียนรู้ ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้
1. จิบน้ำบ่อย ๆ
เพราะสมองประกอบด้วยน้ำถึง 85 % เชลล์สมองของเราก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า ทำให้ลูกกลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก ในแต่ละวันจึงควรให้ลูกดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี
สมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ การให้ลูกกินไขมันดี ซึ่งมีอยู่ในเนื้อปลา อย่าง ปลาแซลมอน หรือนมถั่วเหลือง ก็จะช่วยบำรุงสมองได้
Must read : 10 ปลาไทย โอเมก้า 3 สูง! บำรุงสมองสดใส หัวใจแข็งแรง
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
Must read : สวดมนต์ ก่อนนอน ช่วย ฝึกสมาธิเด็ก
4. อารมณ์ดี หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
5. ให้ลูกเรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
6. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20-25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
การเด็กๆ มีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าพ่อแม่ช่วยดูแลและฝึกฝนสมองให้ลูกดีๆ คุณภาพชีวิตก็จะดีตามไปด้วยเช่นกันค่ะ
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!