ปัจจุบันยาเป็นหนึ่งในปัจจัย 4 ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันซึ่งมีประโยชน์ต่อมนุษย์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ต้องพึ่งพาอาศัยยาเพื่อใช้รักษาตัวให้หายจากอาการป่วย แต่บางครั้งยาที่มีประโยชน์นี้ก็อาจทำให้เกิดอันตรายได้ถ้าหากเราใช้ยาไม่ถูกต้องและไม่เหมาะสม
และปัญหาหนึ่งที่พบบ่อยคือปัญหายาหมดอายุและยาเสื่อมคุณภาพ ซึ่งเกิดจากการที่คนเรามียาสะสมไว้ที่บ้านเกินความจำเป็น ประมาณ 3 – 4 เท่าของยาที่ควรมี!!! ทั้งยาที่ได้รับมาจากโรงพยาบาล หรือคลินิกแล้วกินไม่หมด ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อย ที่เลือกกินยาที่เหลืออยู่ในบ้านมากกว่าออกไปหาหมอเมื่อมีอาการเจ็บป่วย … แต่ที่เสี่ยงอันตรายกว่าก็คือ ยาทุกชนิดมีวันหมดอายุ ซึ่งหมายถึงยาที่หมดประสิทธิภาพในการรักษาแล้ว ถ้าหากกินยาเสื่อมคุณภาพโดยไม่รู้ตัว อาจเสี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิต
>> การทานยาเสื่อมสภาพเป็นยาที่เปลี่ยนสภาพไป ทำให้ไม่เกิดผลในการรักษาที่ดี หรืออาจเป็นอันตรายอย่างรุนแรงต่อผู้ใช้ได้ แม้แต่ยาที่แพทย์สั่ง ก็ควรกินตามคำแนะนำของแพทย์ครับ นั่นคือห้ามกินเกินกว่าวันที่ และไม่ต้องเก็บสะสมไว้หรอกครับ ที่เหลือให้ทิ้งได้เลย
วิธีสังเกตยา ทั้งวันที่ผลิตและวันหมดอายุ
ซึ่งในบรรดายาทั้งหลาย ส่วนมากจะระบุทั้งวันที่ผลิต และวันหมดอายุไว้บนฉลากหรือซองยาอย่างชัดเจน ซึ่งมักจะเป็นภาษาอังกฤษ โดยวันที่ผลิตจะเขียนว่า “Manu. Date” หรือ “Mfg. Date” ตามด้วยวัน-เดือน-ปี ของวันผลิต ส่วนวันหมดอายุหรือวันสิ้นอายุของยา จะเป็นวันที่กำหนดอายุการใช้ยาสำหรับยาที่ผลิตในแต่ละครั้ง เพื่อแสดงว่ายาดังกล่าวมีคุณภาพมาตรฐานตามข้อกำหนดตลอดช่วงระยะเวลาก่อนถึงวันสิ้นอายุของยา จะเขียนว่า “Expiry Date” หรือ “Exp. Date” หรือ “Used before” หรือ Expiring หรือ Use by ตามด้วยวัน-เดือน-ปี ของวันหมดอายุ
ยาที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิต สามารถสังเกตได้จากวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ เช่น ที่แผงยา ซองยา เป็นต้น กรณีที่ระบุเฉพาะเดือนและปีที่หมดอายุ วันหมดอายุจะเป็นวันสุดท้ายของเดือน
…หากคุณพ่อคุณแม่พบเห็นยาที่หมดอายุแล้วให้รีบทิ้งไปได้เลยไม่ต้องเสียดายหรือเก็บสะสมไว้ เพราะยาที่หมดอายุนั้นไม่เพียงกินแล้วไม่ได้ผลในการรักษา แต่อาจเกิดภัยตามมาอย่างคาดไม่ถึง เช่น ยาหมดอายุบางตัวทำให้กระเพาะอาหารระคายเคือง จนอาจกลายเป็นโรคกระเพาะ หรือแทนที่จะระงับโรคกลับทำให้โรคลุกลาม ตัวยาบางชนิดเมื่อเสื่อมอาจก่อโทษภัยแก่ร่างกาย ถึงกับทำให้ไตวายและไตอักเสบได้
อ่านต่อ >> “วิธีสังเกตยา ทั้งวันที่ผลิตและวันหมดอายุ” คลิกหน้า 2
ส่วนวิธีการสังเกตยาที่มีการระบุไว้เพียงวันผลิต แต่ไม่ได้ระบุวันหมดอายุ โดยจะมีวันหมดอายุดังต่อไปนี้
- ยาแบ่งบรรจุล่วงหน้า( pre-pack) ยานำมาแบ่งบรรจุจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี นับจากวันที่แบ่งบรรจุ แต่ต้องไม่เกินอายุยาที่ระบุจากบริษัทยา ดังนั้นยาที่จะนำมาแบ่งบรรจุ ต้องมีอายุการใช้งานเหลืออย่างน้อย 1 ปี
- ยาน้ำที่ยังไม่ได้เปิดใช้ จะเก็บไว้ได้ 3 ปีนับจากวันผลิต ส่วนยาน้ำที่มีสารกันเสียทั้งชนิดรับประทานและใช้ภายนอก หลังจากเปิดใช้ควรเก็บไว้ไม่เกิน 6 เดือน การเก็บรักษายาจะต่างกันไปตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด และหากเปิดใช้ยาน้ำแล้วขึ้นกับว่าดูแลการปนเปื้อนได้ดีหรือไม่ เช่น ยาแก้ไอ แต่ใช้ปากจิบจากขวดยา (ห้ามทำเช่นนี้เด็ดขาด เพราะเราจะไม่รู้ขนาดที่กินเข้าไปชัดเจน) ก็จะทำให้ปนเปื้อนและเสียได้ในเวลาสองสามวัน หากเทใส่ช้อนกิน จะไม่ปนเปื้อน ให้ปิดฝาอย่างดี แล้วเก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้ถึง 3 เดือน
- ยาปฏิชีวนะชนิดผงแห้ง เนื่องจากไม่มีสารกันเสีย โดยทั่วไปหลังผสมถ้าเก็บที่อุณหภูมิห้องเก็บได้ 7 วัน ถ้าเก็บในตู้เย็นเก็บได้ 14 วัน
- ยาน้ำเชื่อม หลังเปิดใช้ควรเก็บไว้ไม่เกิน 1 เดือน และเก็บที่อุณหภูมิห้อง (การแช่ตู้เย็นไม่ช่วยยืดอายุยา แต่อาจทำให้ยาตกตะกอน หรือน้ำเชื่อมตกผลึก แต่ AZT syrup ต้องเก็บในตู้เย็น)
- ยาหยอดตา ยาป้ายตา หากเป็นชนิดที่ใส่สารต้านเชื้อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค(Preservative) โดยทั่วไปจะมีอายุไม่เกิน 1 เดือนหลังการเปิดใช้ เนื่องจากสารต้านเชื้อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่ใส่ไปมีประสิทธิภาพดีในช่วง 1 เดือน หากเป็นชนิดไม่เติมสารต้านเชื้อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคควรใช้ให้หมดภายใน 1 วัน
- ยาที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิต ที่มีการเปิดใช้แล้ว ควรสังเกตลักษณะของยาควบคู่ไปด้วย หากลักษณะทางกายภาพของยา (สี กลิ่น รส)เปลี่ยนแปลงไป เป็นการบ่งบอกถึงความไม่คงตัวของยา ก็ไม่ควรใช้ยานั้นต่อไป
ทั้งนี้ยาจะมีคุณภาพที่ดีจนถึงอายุยาที่กล่าวข้างต้นได้ หากอยู่ภายใต้การจัดเก็บที่เหมาะสมตามที่แนะนำโดยบริษัทผู้ผลิต แต่เมื่อมีการจัดเก็บยาที่ไม่เหมาะสม ยาก็จะเสื่อมสภาพและมีคุณภาพลดลงต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ … ดังนั้นการสังเกตลักษณะทางกายภาพของยาร่วมด้วยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะหากยามีลักษณะที่เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ก็อาจอนุมานได้ว่าคุณภาพของยาน่าจะเปลี่ยนแปลงและผู้บริโภคไม่ควรใช้ยานั้นต่อไป
อ่านต่อ >> “วิธีการตรวจสอบและสังเกตยาเสื่อมคุณภาพ” คลิกหน้า 3
วิธีการตรวจสอบและสังเกตยาเสื่อมคุณภาพ
ถึงแม้ยาที่ผลิตมานั้นจะผ่านกระบวนการผลิตตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตยา และผ่านการตรวจสอบคุณภาพมาอย่างเข้มงวดแล้ว แต่ไม่อาจคงคุณภาพนั้นไว้ได้ตลอดกาล เนื่องจากยาแต่ละชนิดมีความคงตัวแตกต่างกัน เมื่อเวลาผ่านไป ยานั้นๆ จะมีคุณภาพเปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีการกำหนดอายุการใช้ยา เพื่อไม่ให้มีการจัดเก็บยาไว้นานจนเกินไปจนยาหมดอายุและเสื่อมสภาพลงจนมีผลให้คุณภาพลดน้อยลงไปจากเดิม
ตัวอย่างลักษณะยาที่เสื่อมสภาพ
- ยาบางอย่างที่ต้องเก็บในตู้เย็น มียาบางอย่างเท่านั้นที่จำเป็นต้องเก็บไว้ในตู้เย็น เพื่อกันการเสื่อม เช่น ยาพวกวัคซีนที่ใช้ฉีด หากคุณแม่พบเห็นคลินิกไหน เอาวัคซีนมาจากตู้ยามาฉีดโดยไม่ได้เก็บไว้ในตู้เย็น ก็ต้องทักท้วงและทวงถามกันหน่อยนะคะ
- ยาเม็ดมากมายที่ใส่แผง (กระดาษฟรอยด์) ซึ่งกันทั้งความชื้นและกันการเสื่อมสภาพเร็ว จึงควรจะแกะยาต่อเมื่อถึงเวลาต้องกินแล้วเท่านั้น หากแกะออกมารวม ๆ กันในขวดอาจเสื่อม หมดอายุก่อนวันเวลากำหนด
- ยาที่ได้จากโรงพยาบาลใส่ถุงซิปมาให้ ไม่มีวันหมดอายุ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ถึง 5 ปี เพียงแค่วันหมดอายุอยู่ที่กระป๋องยาโรงพยาบาล ตามคลินิกมักจะไม่ได้เขียนไว้ในซองยาให้ ดังนั้นหากเป็นยาเม็ดที่เหลือค้างไว้ที่บ้าน อย่าเก็บไว้เกิน 1 ปี หากเป็นยาน้ำที่ไม่ใช่ยาแก้อักเสบเก็บได้ไม่เกิน 3 เดือน
นมผง และอาหารกระป๋อง หมดอายุ
นอกจากยาแล้ว อาหารหลายอย่างโดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป นม มักมีอายุการเก็บ รวมทั้งวิธีการเก็บที่ถูกต้อง หากเก็บผิดวิธี อาจเสียก่อนหมดอายุ … หากกินอาหารหรือนมที่เสียแล้วหรือหมดอายุแล้ว อาจก่อให้เกิดภาวะอาหารเป็นพิษ โดยมีสาเหตุมาจากแบคทีเรียในอาหาร นม รวมทั้งสภาพทางชีวเคมีของอาหารที่เปลี่ยนแปลงไป
การปฐมพยาบาล เมื่อกินยา หรือกินอาหารหมดอายุ
เบื้องต้นหากเพิ่งรู้ว่าทานยาหมดอายุไปอย่าตกใจเกินเหตุ และไม่ต้องล้วงคอ ไม่ต้องดื่มนม แต่ควรดื่มน้ำตามไปก่อน และเก็บฉลากให้รู้ชนิดยาที่กิน จำนวนที่กินเข้าไป สังเกตลักษณะที่ผิดปกติ เช่น สีที่เปลี่ยน กลิ่นที่ผิดปกติ และโทรถามศูนย์พิษวิทยา รพ.รามาธิบดี หมายเลข 02-201-1083 ซึ่งศูนย์พิษนี้จะเปิด 24 ชั่วโมง มีนักเภสัชวิทยาคอยให้คำแนะนำ บอกวิธีการปฐมพยาบาล และความจำเป็นที่จะต้องรับการรักษาที่โรงพยาบาลหรือไม่
ดังนั้น ก่อนใช้ยาใดๆ จึงควรดูวันหมดอายุ และสังเกตสภาพยาว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะนอกจากจะรักษาไม่หายแล้ว ยังเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ หากไม่แน่ใจให้ทิ้งไป และเพื่อความปลอดภัย ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก : med.mahidol.ac.th