โรคจูบ โรคติดต่อที่ไม่ใช่โรคใหม่ แต่แฝงไปด้วยความอันตราย และเกิดขึ้นได้กับเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป!!
คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนอาจจะเคยได้ยินโรคนี้มาบางแล้ว และก็อาจจะมีคุณพ่อคุณแม่บางท่านจะยังไม่ทราบและสงสัยว่า โรคติดต่อที่ว่านี้คือโรคอะไร และเกี่ยวอะไรกับเด็กเล็ก ๆ ที่มีอายุแค่ 2 ปี วันนี้ทีมงาน Amarin Baby and Kids ได้เตรียมข้อมูลดี ๆ มีประโยชน์มาฝากกันค่ะ
โรคจูบ คืออะไร?
คือโรคที่เราเรียกกันว่า Kissing Disease ซึ่งเกิดจากไวรัส Ebstein Barr หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า EB เป็นไวรัสที่สามารถติดต่อได้ผ่านการสัมผัสและทางน้ำลาย และส่วนใหญ่แล้วในประเทศไทยนั้น จะพบการติดเชื้อดังกล่าวได้ในเด็กที่มีอายุ 2 ขวบปีแรกค่ะ
เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายได้รับการติดเชื้อ เจ้าเชื้อไวรัสก็จะแอบแฝงอยู่กับบุคคลนั้นไปตลอดชีวิตโดยไม่ทำให้เกิดอาการ แต่มีโอกาสแพร่สู่คนอื่นได้เรื่อย ๆ จากเชื้อที่ออกมาปนอยู่ในน้ำลาย การติดเชื้อชนิดนี้จึงเกิดขึ้นได้กว้างขวางทั่วโลก ในบางคนที่มีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้ออาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้หลายโรค รวมถึงโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคมะเร็งโพรงหลังจมูก เป็นต้น
และจากสถิตินั้นพบว่ามีการติดเชื้อชนิดนี้ทั่วโลก การติดเชื้อครั้งแรกส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ในวัยเด็ก โดยพบว่าในเด็กอายุ 5 ปี มีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้อยู่ถึงร้อยละ 50 เลยละค่ะ
อาการจะเป็นอย่างไร คลิกอ่านต่อได้ที่หน้าถัดไปค่ะ
อาการของโรค
- หากเด็กติดเชื้อเป็นครั้งแรก ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีอาการ แต่ก็มีบ้างประมาณร้อยละ 50 ที่จะแสดงอาการของโรคที่เรียกว่า โรคโมโน โดยระยะเวลานับตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งแสดงอาการคือ 4-6 สัปดาห์ ซึ่งอาการของโรคโมโนที่ว่านี้ก็ได้แก่ ไข้สูง เจ็บคอ จากคอหอย หรือทอน ซิล มีการอักเสบ และมีต่อมน้ำเหลืองที่คอโต ส่วนอาการอื่นๆที่อาจจะพบร่วมด้วยคือ อาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ คลำได้ ตับโต ม้ามโต มีจุดเลือดออกที่เพดานปาก ถ่ายอุจจาระเหลว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน มีน้ำมูก เป็นต้น ซึ่งอาการส่วนใหญ่จะหายภายในเวลา 2 สัปดาห์ ยกเว้นอาการอ่อนเพลียที่ยังอาจหลงเหลืออยู่ได้นานหลายเดือน
- สำหรับการติดเชื้อครั้งแรกแบบเฉียบพลันชนิดที่มีอาการรุนแรงนั้น มักจะเกิดในผู้ที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมแต่กำเนิดและพบเฉพาะในผู้ชาย ส่งผลให้ผู้ป่วยจะมีการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดเลือดขาว
- โรคระบบน้ำเหลืองเจริญผิดปกติ อาจเกิดหลังจากติดเชื้ออีบีแล้ว มักจะเกิดในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เช่น เป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแต่กำเนิดชนิด โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้ และอาการที่เกิดจากเม็ดเลือดขาวชนิด B เพิ่มจำนวนมากขึ้นในต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย ตับ ไต ปอด ไขกระดูก และลำไส้เล็ก เช่น มีตับโต มีต่อมน้ำเหลืองโตทั่วตัว ปวดท้องท้องอืด มีภาวะโลหิตจาง ภาวะซีด มีเกล็ดเลือดต่ำ และมีเลือดออกง่าย เป็นต้น
- ส่วนโรคมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้ออีบีนั้น เช่น
- มะเร็งโพรงหลังจมูก ที่ส่วนใหญ่พบในประเทศจีนโดยเฉพาะจีนตอนใต้ ประเทศในทวีปแอฟริกาเขตเหนือ และในชาวเอสกิโม ผู้ป่วยมักจะมาด้วยอาการคัดจมูก จมูกมีเลือดออก หูอื้อข้างเดียว ปวดศีรษะ มีก้อนที่คอ
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่วนใหญ่พบในประเทศแถบแอฟริกาตอนกลาง และมักจะพบในวัยเด็ก อาการคือ คลำได้ต่อมน้ำเหลืองโตตามที่ต่าง ๆ เช่น ขากรร ไกร ใบหน้า รักแร้ ขาหนีบ หรือต่อมน้ำเหลืองในช่องท้องอาจโต และทำให้มีอาการท้องโต ปวดท้อง ซึ่งต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะโตได้อย่างรวดเร็ว เป็นต้น
ดูแลลูกหลานอย่างไรให้ห่างไกล และมีวิธีการรักษาหรือไม่ คลิก!
โรคนี้มีวิธีการรักษาหรือไม่?
สำหรับโรคนี้ยังไม่มียารักษาค่ะ ทำได้เพียงแต่ประคับประคองไปตามอาการ ยกตัวอย่างเช่น มีไข้ ก็ให้รับประทานยาแก้ปวดและลดไข้ แต่หากป่วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่รุนแรง แพทย์ก็จะพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ เป็นต้น
ดูแลลูกหลานอย่างไรให้ห่างไกลโรคนี้?
อาจจะเป็นการยากที่เราจะสามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากใคร ๆ ก็รักและเอ็นดูลูกหลานของเรา และเราก็ไม่มีทางรู้เลยว่า มีใครบ้างที่ติดเชื้อดังกล่าวนี้ ซึ่งสิ่งที่เราสามารถทำได้ก็คือ คอยดูแลลูกหลานอย่างใกล้ชิด และพยายามหลีกเลี่ยงให้คนอื่นจูบและหอมลูกค่ะ เพราะลักษณะการติดต่อของโรคนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคเริม ที่เรามักจะได้ยินข่าวกันอยู่เสมอ ๆ นั่นเอง
สมัยนี้โรคติดต่อเยอะแยะไปหมด จะป้องกันไม่ให้ติดต่อเลยก็คงเป็นไปได้ยาก แต่สิ่งที่เราสามารถทำได้อย่างที่กล่าวไปแล้วก็คือ การรู้เท่าทันเพื่อป้องกันลูกหลานและตัวเราเอง ที่สำคัญ ควรที่จะเลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์เพื่อเสริมสร้างภูม อีกทั้งควรหมั่นออกกำลังกายเป็นให้เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอกันนะคะ
เครดิต: หาหมอ
อ่านต่อเรื่องอื่น ๆ ที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่