คนแถวบ้านถึงกับอึ้ง! เมื่อรู้ว่า แม่วัยละอ่อน! ทำสิ่งนี้กับ ลูกโดนน้ำร้อนลวก !
เรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับสมาชิกเพจคนหนึ่งของเราค่ะ โดยคุณแม่ได้ติดต่อมาเพื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับคนแถวบ้าน พร้อมกับขอให้เราช่วยเป็นสื่อกลางในการนำเสนอวิธีการดูแลเมื่อ ลูกโดนน้ำร้อนลวก ว่าต้องทำอย่างไร เพราะสิ่งที่คุณแม่ท่านนี้เจอนั้น ท่านเล่าว่า เด็กตัวเล็ก ๆ คนนึง ต้องเกือบเสียแขนข้างขวาของตัวเองไป เพียงเพราะแม่ทำสิ่งนี้! คุณแม่ได้เล่าให้กับทีมงานของเราได้ฟังว่า
เย็นวันนั้น ในขณะที่คุณแม่กำลังป้อนข้าวลูกอยู่หน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงร้องของลูกสาวของเพื่อนข้างบ้าน ที่มีอายุเพียง 2 ปีร้องลั่นด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด ด้วยความสนิทประกอบกับความเป็นห่วง คุณแม่จึงรีบวิ่งเข้าไปดูพบว่า น้องกำลังนอนพลิกตัวไปมาอยู่ คุณแม่จึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เพื่อข้างบ้านบอกว่า ในขณะที่เขากำลังตั้งกาน้ำร้อนเพื่อเตรียมจะต้มน้ำชงนมอยู่นั้น ลูกสาวก็วิ่งซนไปมาแล้วไปคว้ากาน้ำร้อนที่อยู่ในเตา ทำให้กาน้ำล้มลงมา แต่โชคดีที่ราดแค่แขนข้างขวาเท่านั้น! คุณแม่ก็เลยถามว่า แล้วได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นน้องไปแล้วหรือยัง คนแถวบ้านบอกว่าทำแล้วด้วยการใช้น้ำปลาราดไปที่แขนของน้อง!!
พอได้ฟังเท่านั้นแหละ คุณแม่รีบเอาผ้าชุบน้ำเย็นจัดประคบแขนของน้อง! แล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที! เมื่อไปถึงที่โรงพยาบาล คุณหมอก็รีบทำการปฐมพยาบาลน้องอีกครั้งนึง พร้อมกับถามว่าก่อนหน้านี้ได้มีการปฐมพยาบาลน้องมาอย่างไรบ้าง พอคุณหมอทราบว่า คุณแม่ของน้องเอาน้ำปลาราดเท่านั้น คุณหมอก็ตำหนิทันทีพร้อมกับกล่าวว่า โชคดีนะที่พามาโรงพยาบาล มิเช่นนั้นละก็ แผลอาจจะอักเสบติดเชื้อจนอาจทำให้น้องสูญเสียแขนข้างขวานี้ไปเลยก็ได้!!
อ่านวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อลูกโดนน้ำร้อนลวก
จากกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เรารู้ได้ทันทีเลยว่า ยังมีใครอีกหลายคนที่ยังคงปักใจเชื่อกับวิธีการปฐมพยาบาลฉุกเฉินด้วยการเอาน้ำปลาราด หรือเอายาสีฟันทาไปที่แผลเพื่อกันอาการปวดแสบปวดร้อนนั้น เป็นความเชื่อตามความเชื่อในสมัยโบราณ ที่ถือว่าผิดมหันต์เลยละค่ะ อีกทั้งวิธีดังกล่าวยังส่งผลให้แผลอาจติดเชื้อได้โดยง่ายอีกด้วย
แผลไฟไหม้ หรือน้ำร้อนลวก สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ
1. แผลในระดับแรก เป็นการโดนไหม้ หรือลวกในระดับแค่เล็กน้อย ซึ่งถือเป็นการทำลายแค่ผิวหนังกำพร้าชั้นนอกเท่านั้น บาดแผลจะไม่มีตุ่มพองใส แต่จะแค่ผิวหนังบริเวณนั้นมีสีแดงกว่าปกติ มีความรู้สึกว่าปวดแสบและร้อนไม่มากนัก จะไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้เมื่อหายปวด โดยทั่วไปแผลระดับแรกนี้จะหายไปในระยะเวลา 7 วัน
วิธีการรักษา เพียงแค่คุณแม่ใช้น้ำอุณหภูมิปกติไหลผ่านแผล แล้วจึงใช้น้ำเย็น หรือน้ำแข็งประคบไว้สักครู่หนึ่ง อาการปวดก็จะเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ หรือถ้าใครมีคูลฟีเวอร์หรือแปะหน้าผากลดไข้เด็กละก็ สามารถนำมาแปะที่แผลไว้ พออาการปวดดีขึ้นก็ให้ทายารักษาอาการ
2. แผลในระดับที่สอง คือแผลที่โดนลึกถึงขั้นกินบริเวณกว้างกว่าแผลในระดับแรก เข้าไปถึงชั้นหนังกำพร้า แล้วลึกลงไปถึงชั้นหนังแท้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังหลงเหลือเซลล์ที่สามารถเจริญเติบโตมาทดแทนชั้นหนังที่ตายแล้วได้อยู่ แผลนั้นจะมี 2 แบบ คือ
-
แบบเป็นตุ่มพองมีน้ำใส ๆ ข้างใน พอแกะน้ำออกมาผิวบริเวณนั้นจะมีสีชมพู และมีน้ำเหลืองไหลออกมาเล็กน้อย แผลระดับนี้จะเริ่มมีอาการปวดแสบมากขึ้น เพราะเส้นประสาทถูกทำลายไปด้วย แต่ไม่เยอะมากนักและแผลจะหายภายใน 2-3 สัปดาห์
-
แบบที่แผลที่ไม่มีตุ่มพอง แผลจะแห้ง มีสีเหลืองขาวและไม่ค่อยปวด แต่จะทำให้เกิดแผลเป็นได้
วิธีการรักษา แผลระดับนี้ ยังคงใช้วิธีการรักษาเบื้องต้น แบบแผลระดับแรก เพียงอาจจะต้องมีการสะกิดตุ่มหนองในแผลแบบที่ 1 ออก แล้วจึงทายาเพื่อรักษาอาการต่อไป และต้องมีการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับแผลแบบที่ 2 เพื่อลดการติดเชื้อ
3. แผลในระดับที่สาม เป็นแผลที่ลึกลงไปทำลายหนังกำพร้า หนังแท้ รูขุมขน ต่อมเหงื่อ และเซลล์ประสาทจนหมด ซึ่งแผลระดับนี้ถือว่ารุนแรงมาก เพราะอาจกินลึกไปถึงชั้นกล้ามเนื้อและกระดูก แต่จะไม่มีอาการปวดจากแผล เพราะเซลล์ประสาทโดนทำลายไปทั้งหมด ทำให้ไม่รับรู้ถึงอาการปวด ลักษณะของแผลจะมีสีซีดออกเหลือง หรืออาจจะมีสีไหม้ออกดำ จะแข็งด้าน ในบางรายอาจมองเห็นได้ถึงเส้นเลือด แผลชนิดนี้จะมีอาการผิวหนังตึง และขยับร่างกายลำบาก เมื่อหายแล้วก็จะเป็นแผลเป็น หรือในบางรายอาจกลายเป็นแผลนูนขึ้นมาแทนก็ได้
วิธีการรักษา แผลชนิดนี้เมื่อเป็นแล้ว ไม่สามารถรักษาอาการเองได้ ต้องได้รับการรักษาจากแพทย์เท่านั้น และมีเพียงแค่การปลูกถ่ายผิวหนังใหม่เท่านั้น ที่เป็นวิธีการรักษา แผลระดับสามนี้ต้องดูแลเป็นอย่างดีจากแพทย์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าแผลระดับอื่น
อ่านวิธีรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก
8 วิธีรักษาแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก
-
สำหรับแผลที่อยู่ในระดับ 1 และ 2 นั้น ให้รักษาโดยการล้างแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสบู่อ่อนเพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค เสร็จแล้วซับแผลให้แห้งแล้วทาครีมที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค หรือหาวัสดุมาปิดแผลเอาไว้ หากผู้ป่วยรู้สึกปวดก็ให้รับประทานยาแก้ปวดพาราเซตามอลแทน
-
หากแผลไม่มีขนาดวงกว้างมากนัก แต่มีการเปิดของผิวหนัง หลังจากที่ล้างแผลตามข้อ 1 แล้ว ให้ทายาลงบนแผล แล้วปิดทับด้วยผ้าพันแผลหลาย ๆ รอบเพื่อเป็นการป้องกันการติดเชื้อ
-
สำหรับแผลที่มีขนาดกว้างมากกว่า 3 % ทันทีที่ล้างแผลเสร็จแล้วให้ทายาทันที หลังจากนั้นใช้สำลีแผ่นบางเรียบชนิดดูดหนองวางบนแผล แล้วพันทับด้วยผ้าพันแผลหลาย ๆ รอบ จากนั้นให้ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมงแล้วค่อยเปิดดูแผล หากพบว่าแผลมีอาการดีขึ้น ก็ให้ล้างและทายาอีกครั้ง แล้วจึงปิดทับใหม่ทิ้งไว้ 2 – 3 วันจึงจะค่อยล้างแผลใหม่อีกครั้งนึง แต่ถ้าหากเปิดออกมาแล้วพบว่ามีหนอง และไม่ดีขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
-
หากโดนที่ใบหน้า แนะนำให้ทายาที่มีส่วนผสมของ คลอแรมฟินีคอล 1% วันละ 3 – 4 ครั้ง หรือถ้าหากพบว่าแผลเริ่มแห้งแล้ว ก็ยังคงสามารถทายาซ้ำได้อีกไปเรื่อย ๆ ค่ะ และควรเปิดแผลทิ้งไว้นะคะ
-
เมื่อมีแผลตรงบริเวณมือ และขาในระดับที่มีแผลเปิด ให้ล้างแผล ทายา และพันแผลหลาย ๆ รอบ หลังจากนั้นให้หาไม้มาดามตรงบริเวณแผลแล้วยกสูงขึ้นเป็นเวลา 72 ชั่วโมง จึงค่อยมีการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่เป็นแผลต่อไป
-
สำหรับบริเวณข้อต่อต่าง ๆ เช่น ข้อพับ ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า อาจเกิดแผลดึงนั้งยึดติดได้ หากปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้เกิดการผิดรูปของข้อต่อบริเวณนั้น ๆ จนอาจทำให้พิการ ดังนั้น หากพบว่าแผลหายดีแล้ว ให้ทำการบริหารร่างกายและข้อต่ออย่างจริงจังและต่อเนื่องทันที
-
เมื่อแผลหายดีแล้ว ก็อย่าเพิ่มรีบออกไปโดนแสงแดดทันทีนะคะ ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดประมาณ 3 – 6 เดือน และควรพกโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์สูงติดตัวไว้เพื่อทาบริเวณแผล เมื่อมีอาการคันและแสบโดยเฉพาะแผลที่ใช้เวลารักษานานกว่า 3 สัปดาห์ หรือแผลที่ต้องได้รับการผ่าตัด ผู้ป่วยควรที่จะสวมใส่เสื้อยืดตัวใหญ่ เพื่อป้องกันการเสียดสีจนทำให้แผลนูนหรือเป็นแผลขึ้น
มาถึงตอนนี้ คุณพ่อคุณแม่และผู้ปกครองหลาย ๆ ท่านก็คงทราบกันแล้วนะคะว่า วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากลูกหรือสมาชิกในบ้านโดนน้ำร้อนลวกนั้นจะต้องทำอย่างไร หากคุณพ่อคุณแม่ไม่แน่ใจว่าทำถูกต้องหรือไม่ แนะนำว่า หายหลังจากที่ล้างแผลเสร็จแล้ว ให้รีบหาผ้าปิดแล้วไปพบแพทย์ทันทีค่ะ
เครดิต: Honestdocs และ Medthai
คลิกอ่านเรื่องราวที่น่าสนใจเพิ่มเติม:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่