กรมควบคุมโรคเผยสถานการณ์ โรคไข้หวัดใหญ่ 3 เดือนแรกต้นปี 63 พบผู้ป่วยกว่า 9.2 หมื่นคน และเสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย เด็กเล็กต่ำกว่า 5 ขวบเสี่ยงสุด!
สถานการณ์ โรคไข้หวัดใหญ่ 2563
กรมควบคุมโรครายงานสถานการณ์ของ โรคไข้หวัดใหญ่ ในปี 2563 (ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 มี.ค.) พบว่าผู้ป่วยมากถึง92,129 ราย และเสียชีวิตไปแล้ว 3 ราย ซึ่งจำนวนผู้ป่วยสะสมในภาพรวมของปี 2563 นี้ พบว่าสูงกว่าค่ามัธยฐาน 5 ปีย้อนหลัง
โดยกลุ่มอายุที่พบอัตราการป่วย โรคไข้หวัดใหญ่ มากที่สุดคือ แรกเกิด-4 ปี รองลงมาคือ 5-9 ปีและ 10-14 ปี ส่วนจังหวัดที่พบอัตราป่วยสูงสุด คือ จังหวัดพะเยา เชียงใหม่ หนองคาย ตามลำดับ
ด้านอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า… กรมควบคุมโรคพยากรณ์ คาดว่าในช่วงนี้มีโอกาสพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่เพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง บางพื้นที่อาจมีฝนตกจากพายุฤดูร้อน ทำให้ร่างกายโดยเฉพาะเด็กๆ อาจปรับตัวไม่ทันทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย
ซึ่งสถานที่ที่พบผู้ป่วยสงสัยหรือยืนยันไข้หวัดใหญ่เป็นกลุ่มก้อน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-2 เม.ย. 63 พบ 24 เหตุการณ์ ใน 18 จังหวัด โดยพบมากในโรงเรียน/มหาวิทยาลัย เรือนจำ สถานที่ทำงาน 15 เหตุการณ์ การเข้าค่ายฝึกอบรม และ 3 เหตุการณ์ เป็นสถานที่รวมตัวกันเป็นหมู่มาก
กลุ่มเสี่ยง โรคไข้หวัดใหญ่
-
ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป
-
เด็กอายุ 6 เดือน – 2 ปี
-
หญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มากกว่า 7 เดือน
-
ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน 100 กิโลกรัม
-
ผู้ที่มีโรคประจำตัว
-
บุคลากรทางการแพทย์
ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่ควรได้รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ และหากมีอาการป่วยให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจมีอาการรุนแรงมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ได้
ทั้งนี้ทั้งนั้นกรมควบคุมโรค จึงขอเตือนให้ทุกคนหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ที่มีการรวมตัวกัน เช่น ห้างสรรพสินค้า และตลาด และในช่วงนี้ควรงดจัดกิจกรรมและงานการแสดงต่างๆ ที่สำคัญพ่อแม่ลูกควรป้องกันตนเองโดย..
- สวมหน้ากากอนามัย
- ล้างมือให้สะอาดบ่อยครั้ง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการทางเดินหายใจ เช่น ไอ จาม มีน้ำมูก
- ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้อื่นหรือผู้ที่มีอาการป่วย
- รับประทานอาหารปรุงสุกใหม่
- หมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะผัก ผลไม้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
การปฎิบัติตัวดังกล่าวนอกจากจะช่วยหลีกเลี่ยง โรคไข้หวัดใหญ่ ได้แล้วยังช่วยเลี่ยงจากโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ได้ด้วย … หากบ้านไหนมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมสามารถติดต่อไปได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422
อ่านต่อ >> “วิธีสังเกตอาการ, การรับมือ
และวิธีป้องกันลูกน้อยจากไข้หวัดใหญ่” คลิกหน้า 2
ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : www.thansettakij.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
โรคไข้หวัดใหญ่ในเด็ก
โรคไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่พบได้บ่อยในเด็ก เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัด ใหญ่ มี 3 ชนิดที่ก่อโรคในมนุษย์ คือ A B และ C โดยชนิด A (H1N1 และ H3N2) และ B (ตระกูลวิคตอเรีย และ ยามากาตะ) เป็นเชื้อที่พบบ่อย ส่วนชนิด C พบได้น้อย โรคนี้พบได้ตลอดทั้งปี แต่มักพบบ่อยในช่วงหน้าฝน หรือหน้าหนาว
Must read >> 7 โรคเด็ก ช่วงเปิดเทอม ที่ต้องระวัง
Must read >> 10 รายชื่อหมอเด็ก ที่เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์และเฉพาะทางโรคเด็ก ที่แม่บอกต่อ
การแพร่กระจายของเชื้อ
โรคนี้สามารถแพร่เชื้อได้โดยละอองฝอยจากการไอ หรือจามรดกัน หรือผ่านสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น กระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ลูกบิดประตู ของเล่น แก้วน้ำ แล้วนำเข้าตา จมูก หรือ ปากของตัวเอง ผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อได้หนึ่งวันก่อนเริ่มมีอาการป่วย และแพร่เชื้อได้นาน 3-5 วัน แต่เด็กหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ จะแพร่เชื้อได้นานกว่านี้
อาการของ โรคไข้หวัดใหญ่ ที่สำคัญ
- มีไข้สูงลอยเกินกว่า 39-40 องศาเซลเซียสติดต่อกัน 3-4 วัน
- อาจมีอาการหนาวสั่นร่วมด้วย
- ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ ปวดหัว และอ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และเบื่ออาหารเป็นอาการสำคัญ
มักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งอาการของไข้หวัดใหญ่นี้มีได้หลากหลายตั้งแต่น้อยไปจนถึงมาก ขึ้นกับว่าเคยมีภูมิคุ้มกันหรือได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อนหรือไม่ ส่วนใหญ่มักมีอาการ 2-3 วัน และ ไม่เกิน 2 สัปดาห์ อาการที่รุนแรงและควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนคือ หายใจเร็ว เจ็บหน้าอก ซึมลง และอาเจียนตลอดเวลา
ทั้งนี้เด็กที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่คือ เด็กที่เป็นโรคหอบหืด โรคเรื้อรังต่าง ๆ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอด โรคเบาหวาน โรคเมตาบอลิค โรคไต และโรคธาลัสซีเมีย โรค ทางระบบประสาทที่มีปัญหาด้านการท้างานของปอด โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง และเด็กที่ได้รับยาแอสไพริน เป็นระยะเวลายาวนาน
การรักษา โรคไข้หวัดใหญ่
เบื้องต้นทำได้โดยการให้พักผ่อนอยู่กับบ้าน กินยาแก้ปวดลดไข้ ห้ามไม่ให้เด็กกินยาแอสไพรินเมื่อสงสัยว่าจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อกลุ่มอาการไรน์ (Reye syndrome) ที่มีอาการตับวายและความผิดปกติของสมอง โดยคุณหมออาจพิจารณาให้การรักษาด้วยยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ คือ ยาโอเซลทามิเวียร์ ในผู้ป่วยที่มีความรุนแรง และมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน หากมีอาการรุนแรงมาก เช่น ปอดอักเสบ ขาดสารน้้า หรือ ซึมลง ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลทันที
Must read >> รีวิว ปรอทวัดไข้ อุณหภูมิเท่าไหร่? แปลว่า ลูกมีไข้ กันแน่!
Must read >> การเช็ดตัวลดไข้ให้ลูกอย่างถูกวิธี
การป้องกัน โรคไข้หวัดใหญ่
อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไข้หวัดใหญ่ คือ การฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะเด็ก และผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคไข้หวัดใหญ่ วัคซีนไข้หวัดใหญ่มี 2 ชนิดคือ 3 สายพันธุ์ (ชนิดเอ H1N1, H3N2 และชนิดบี 1 สายพันธุ์) และ 4 สายพันธุ์ (ชนิดเอ H1N1, H3N2 และชนิดบี 2 สายพันธุ์ คือ ตระกูลวิคตอเรีย และ ยามากาตะ)
ทั้งนี้วัคซีนไข้หวัดใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ทุก ๆ ปี เนื่องจากไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม โดยวัคซีนใหม่จะถูกเตรียมเพื่อให้เหมาะสมกับเชื้อที่คาดว่าจะระบาดในฤดูกาลของไข้หวัดใหญ่ที่จะมาถึงในทุก ๆ ปี
ซึ่งวัคซีนจะมีความปลอดภัยสูง และอาจมีอาการปวดบวมบริเวณที่ฉีดบ้างซึ่งมักหายได้เอง ทั้งนี้การฉีดวัคซีน ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ในแม่ท้องนอกจากจะช่วยป้องกันตนเองแล้วยังสามารถป้องกันลูกน้อยในครรภ์ได้ด้วย
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :
- ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์A รุนแรงและอันตรายกว่าทุกสายพันธุ์
- ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ a กับ b ต่างกันอย่างไร ?
- แม่แชร์! ลูกชายเสียชีวิตเพราะ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ
- ไขข้อสงสัย ลูกฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ แล้วทำไมยังต้องฉีดซ้ำ!!
- ไข้หวัดธรรมดา ไซนัสอักเสบ ภูมิแพ้ แตกต่างกันอย่างไร?
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจากแพทยสภา “หมอชวนรู้” โดย นาวาอากาศเอกหญิง แพทย์หญิง จุฑารัตน์ เมฆมัลลิกา กองกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช tmc.or.th
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่