AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

เมื่อฉันติด โรคซิฟิลิส มาจากสามี จนสูญเสียลูกในครรภ์

สามีของฉันเขาไม่เจ้าชู้ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่! ผลตรวจออกมาว่าฉันติด โรคซิฟิลิส จากเขา!?

 

เมื่อฉันติด โรคซิฟิลิส มาจากสามี จนสูญเสียลูกในครรภ์

โรคซิฟิลิส หนึ่งในโรคร้ายที่ไม่มีใครอยากเป็น … โรคที่มาจากการมีเพศสัมพันธ์ พบกับเรื่องราวของคุณแม่ทางบ้านท่านหนึ่งที่ตัดสินใจเขียนบอกเล่าเรื่องราวนี้ให้กับทีมงาน Amarin Baby and Kids โดยอนุญาตให้ถ่ายทอดเรื่องราวดังกล่าวนี้ เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุก ๆ ครอบครัว ไปติดตามเรื่องของคุณแม่ท่านนี้กันเลยค่ะ

เมื่อก่อนฉันรู้สึกว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้แต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง ที่มีหน้าที่การงานดี สามารถดูแลฉันและครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องลำบาก เขาไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ไม่เที่ยวผู้หญิง ที่สำคัญ ไม่เจ้าชู้ … เรามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ตอนนี้มีอายุได้ 4 ขวบกว่าแล้ว เราทั้งคู่ตัดสินใจมีลูกอีกคนนึง เพื่อที่ลูกชายคนโตของเราจะได้ไม่เหงา … จนในที่สุด ฉันก็ตั้งท้องสมใจ แต่!! เราทั้งคู่ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าลูกคนนี้ เพราะผลตรวจบ่งบอกว่าฉันติดเชื้อโรคบางอย่างจากเขา!!

อ่านต่อเรื่องราวของคุณแม่ >>

 

 

ตอนนั้นฉันท้องได้ประมาณ 14 สัปดาห์ ฉันดูแลทะนุถนอมเขาเหมือนแม่ตั้งท้องทั่ว ๆ ไป เย็นวันหนึ่ง สามีฉันโทรมาบอกว่า คืนนี้เขาต้องกลับบ้านมืด เพราะมีลูกค้าสำคัญมาและต้องพาไปทานข้าว ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไร อนุญาตให้เขาไป เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่คนตำแหน่งหน้าที่การงานขนาดนี้ จะต้องดูแลลูกค้าสำคัญ อีกอย่าง เขาก็ไม่เคยมีประวัติเจ้าชู้ที่ไหน เหล้าก็ไม่กิน บุหรี่ก็ไม่สูบ เพราะฉะนั้นหมดห่วงได้!

เกือบสองเดือนผ่านไป ฉันรู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปกติกับตัวของฉันเอง มือของฉันเริ่มมีตุ่มเม็ดขึ้น ตอนนั้นฉันนึกว่า ฉันอาจจะแพ้น้ำยาล้างจานก็เป็นได้ แต่มันไม่ใช่ ตุ่มที่ว่านี้มันเริ่มใหญ่และรามไปทั่ว ฉันเริ่มมีไข้ต่ำ ๆ ปวดหลัง … ฉันรู้เลยว่า นี่ไม่ใช่อาการปกติแล้วแน่ ๆ ฉันจึงบอกให้สามีพาฉันไปหาคุณหมอทันทีในวันรุ่งขึ้น

พอมาถึงโรงพยาบาล คุณหมอก็ทำการตรวจอย่างละเอียด คำแรกที่คุณหมอถามเลยก็คือ “ในระหว่างตั้งครรภ์ เคยมีเพศสัมพันธ์กันหรือไม่?” ฉันก็เลยบอกว่า “ไม่ค่ะ มีมากสุดก็แค่จูบกันเท่านั้น”

คุณหมอถามต่ออีกว่า “แล้วในช่วงนั้น คุณแม่มีแผลในปาก หรือร้อนในอะไรไหม” ฉันก็บอกว่า “มีค่ะ ตอนนั้นฉันร้อนในที่ปากเล็กน้อยเท่านั้น” จากนั้นคุณหมอก็เงียบ … พร้อมกับพูดว่า “ผมสงสัยว่า คุณแม่กำลังเป็นโรคชนิดหนึ่ง ซึ่งโรคดังกล่าวนั้น ติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือไม่ก็จากการสัมผัสผ่านทางแผลในปาก นั่นหมายถึงว่า คุณพ่อหรือคุณแม่นั้น เป็นโรคนี้อยู่”

“มันคือโรคอะไรคะหมอ รักษาหายไหม แล้วลูกในท้องจะเป็นอะไรไหมคะ?” ฉันถามคุณหมอทันที ด้วยความกังวลใจ เพราะเป็นห่วงลูกในท้องอีกคน ซึ่งในระหว่างนั้น สามีของฉันหน้าซีดมากค่ะ เขาเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ทั้งสิ้น

“โรคซิฟิลิส รักษาได้ครับ แต่ก็มีโอกาสกลับมาเป็นได้ใหม่เช่นกัน ส่วนลูกในครรภ์นั้น อาจจะต้องขอตรวจให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ถามว่าอันตรายหรือไม่ … อันตรายมาก เพราะนั่นอาจทำให้ทารกที่เกิดมาพิการตั้งแต่กำเนิดเลยก็เป็นได้ แต่หากโชคร้ายหน่อยก็คือ อาจเกิดภาวะแท้ง ได้เลยเช่นกัน” คุณหมอกล่าว

อ่านต่อเนื้อหาเรื่องราวของคุณแม่เพิ่มเติม >>

 

ภาพนี้เป็นส่วนประกอบที่ใช้สำหรับการเล่าเรื่องเท่านั้น

คุณเชื่อไหมคะว่า ตลอดระยะทางที่ทั้งฉันและสามีกลับบ้านนั้น ฉันเอาแต่ร้องไห้ ส่วนสามีก็เอาแต่เงียบ เขาไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว … จนฉันถามกับเขาตรง ๆ ว่า “ฉันถามจริง ๆ เถอะ คุณเคยแอบไปมีอะไรกับใครที่ไหนหรือเปล่า ทำไมฉันถึงติดโรคนี้มาจากคุณได้”

สามีของฉันจอดรถทันที เขาเอาแต่ร้องไห้ ร้องเหมือนเด็ก ๆ … นั่นคือครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาเป็นแบบนั้น เขาสารภาพกับฉันว่า วันที่เขาขอฉันไปเลี้ยงรับรองแขกนั้น เขาพาแขกไปที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แขกให้เขาขึ้นไปใช้บริการนั้นด้วย เขาไม่คิดว่า การไปใช้บริการครั้งเดียวในวันนั้น จะส่งผลให้เขาติดโรคที่ว่านี้!

“คุณรู้มาก่อนหรือเปล่า? ว่าคุณเป็น” ฉันถาม

“ผมเพิ่งไปตรวจมาสัปดาห์ก่อน หมอบอกว่าผมเป็นโรคนี้” สามีฉันตอบ

เหมือนมีคนเอาไม้หน้าสามตีมาที่ศีรษะของฉัน ๆ พูดอะไรไม่ออก … ตอนนั้นฉันอยากจะตบตีเขา อยากจะดุด่าว่าเขา แต่ฉันก็ไม่ได้ทำ เพราะมันจุกจริง ๆ ค่ะ ฉันไม่พูดกับเขาเลยหลังจากนั้นมา นึกในใจว่าสงสารลูกชายคนโตเหมือนกัน และฉันก็ไม่ต้องการให้เขาต้องมาติดเชื้อโรคบ้า ๆ นี้ด้วย เลยให้คุณตาคุณยายมารับไปอยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง

ฉันเข้ารับการรักษากับคุณหมออย่างต่อเนื่อง … แต่ก็ไม่วาย เมื่อผลสุดท้าย ลูกของฉันก็ไม่สามารถทนเชื้อโรคที่ว่านี้ได้ และจากไปในที่สุด … ใช่ค่ะ “ฉันแท้งลูก” หากเป็นคุณแม่ท่านอื่น ๆ อาจจะร้องไห้เสียใจ แต่เชื่อไหมคะว่า ฉันเลยจุดนั้นมาแล้ว ฉันไม่รู้ว่าจะไปเอาน้ำตาจากที่ไหนมาร้อง เพราะฉันร้องไห้มามากเหลือเกิน ฉันเสียใจที่ฉันทะนงตนคิดว่าเขาจะไม่ออกนอกลู่นอกทาง … ฉันเชื่อว่าตอนนี้ เขาก็คงเสียใจมากไม่แพ้กัน แต่ถ้าจะให้ฉันต้องไปคุยกับเขาตอนนี้ ฉันรู้สึกจริง ๆ ค่ะว่าฉันยังไม่พร้อม และสภาพจิตใจของฉันก็ยังไม่แกร่งพอที่จะไปทำเช่นนั้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจเล่าเรื่องนี้เพราะ ฉันไม่ต้องการให้ผู้หญิงอย่างเรา ใช้ชีวิตอย่างประมาท และคอยสังเกตตัวของเราเองให้ดีว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ที่กำลังตั้งท้องทุกคน เพราะหากคุณเจ็บป่วยอะไรแม้แต่เพียงนิดเดียว นั่นอาจจะหมายถึงชีวิตและลมหายใจของลูกในท้องก็เป็นได้

ทำความรู้จักกับโรคซิฟิลิส ได้ที่หน้าถัดไปค่ะ >>

 

โรคซิฟิลิส คืออะไร?

โรคซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ เป็นโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ที่ชื่อว่า Treponema Pallidum ความน่ากลัวของโรคซิฟิลิสนี้คือ ผู้ที่เป็นโรคซิฟิลิสนี้จะไม่มีอาการแสดงออก เป็นโรคเรื้อรัง ถ้าพบเชื้อแล้วรักษาจนหาย โรคซิฟิลิสนี้ก็สามารถกลับมาเป็นได้อีกค่ะ

ซึ่งการติดต่อของโรคนั้น สามารถติดต่อกันได้ดังต่อไปนี้

  1. โรคซิฟิลิส สามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ
  2. โรคซิฟิลิส สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสแผลที่มีเชื้อ ทางปากแผล โดยผ่านทางผิวหนัง เยื่อบุตา ปาก
  3. เชื้อซิฟิลิส ถ้าติดเชื้อซิฟิลิสในลักษณะนี้จะเรียกว่า ติดเชื้อซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital Syphilis) อาการจะออกประมาณ  3-8 สัปดาห์ไปแล้ว ลักษณะของอาการจะไม่ค่อยแสดงออกมาก จะมีตุ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะมีอาการออกมากตอนโต หรือเด็กบางคนออกมาก็พิการแต่กำเนิดเลยค่ะ

อาการของ โรคซิฟิลิส แบ่งออกเป็น 3 ระยะ

ระยะที่หนึ่ง:หลังจากได้รับเชื้อไปแล้ว ประมาณ 10-19 วัน จะเกิดตุ่มแดงแตกออกเป็นแผลที่อวัยวะเพศ  ริมฝีปาก ลิ้น ต่อมทอนซิล หัวนม ตรงบริเวณที่เชื้อเข้า แผลที่เห็นจะเป็นอยู่ 1-5 สัปดาห์ และจะหายไปเอง ถึงแม้จะรักษาหายแล้วแต่ก็ยังมีเชื้ออยู่ในสายเลือด

ระยะที่สอง: จะพบเมื่อได้รับเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 1 ไปแล้ว 3- 6 สัปดาห์ เชื้อดังกล่าวจะเข้าไปอยู่ตามต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกายมีอาการปวดตามข้อเนื่องจากข้ออักเสบ อาการสำคัญที่เห็นชัด ๆ คือ ผมร่วง มีผื่นขึ้นตามตัว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ผื่นจะมีลักษณะออกสีน้ำตาลแดง หรือที่เรียกว่า “ระยะออกดอก”  ในระยะนี้ ถ้าทำการตรวจเลือดจะพบผลเลือดเป็นบวก ผื่นและอาการต่าง ๆ จะหายได้เองแม้ไม่ได้รักษา โดยเชื้อจะไปหลบซ่อนตามอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย และจะไม่แสดงอาการเป็นปี ๆ (อาจเป็น 5 ปี 10 ปี)  แล้วก็เข้าสู่ระยะที่ 3

ระยะที่สาม: หรือที่เราเรียกกันว่า ระยะทำลายเป็นระยะสุดท้ายของโรค เกิดจากการที่ผู้ป่วยไม่ได้เข้ารับการรักษาที่ถูกต้อง เช่น ซื้อยากินเอง ส่งผลให้เข้าสู่ระยะร้ายแรงของโรค ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะที่ 3 ประมาณ 3-10 ปีหลังจากได้รับเชื้อซิฟิลิสระยะที่ 1 โดยผู้ป่วยระยะที่ 3 นี้อาจส่งผลทำให้ตาบอด หูหนวก สติปัญญาเสื่อม ใบหน้าผิดรูป เชื้อซิฟิลิสอาจเข้าสู่สมองทำให้เสียสติได้ บางรายเชื้อเข้าสู่ไขสันหลังทำให้เป็นอัมพาต  ถ้าเชื้อไปสู่หัวใจ ก็ทำให้หัวใจมีความผิดปกติ ลิ้นหัวใจรั่ว หลอดเลือดแดงใหญ่ที่ออกจากหัวใจมีลักษณะโป่งพอง เสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายได้

การรักษาโรคนี้ สำหรับผู้ที่เป็นระยะเริ่มต้นสามารถกินยาปฏิชีวนะสำหรับฆ่าเชื้อนี้ก็จะหายขาดเป็นปกติได้ ใช้เวลากินยาแล้วแต่ร่ายกายของผู้ป่วยแต่ละคน อาจใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ และหากผู้ป่วยเป็นสามีภรรยากันก็ควรรักษาไปพร้อมกันเลยค่ะ การรักษาโรคนี้อาจหายได้ แต่อย่างไรแล้วควรจะทำการตรวจเรื่อย ๆ ทุก 3 เดือนจนกว่าจะครบ 3 ปี เพราะบางทีอาจจะมีเชื้อบางตัวแอบแฝงอยู่ ในขณะที่เป็นโรคนี้อยู่ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตัวตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และควรงดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเพื่อป้องการเชื้อโรคไปติดผู้อื่นได้ค่ะ

สำหรับการป้องกันนั้น สามารถทำได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งขณะมีเพศสัมพันธ์ และไม่ควรเปลี่ยนคู่นอนบ่อยจนเกินไปนั่นเองค่ะ “ใจเขาใจเรานะคะ ไม่อยากให้คนที่เรารักต้องติดโรคร้าย อย่าลืมคิดให้ดีก่อนตัดสินใจทำอะไรลงไปกันนะคะ”

ขอบคุณเรื่องราวจากคุณแม่ทางบ้าน และหมอชาวบ้าน

อ่านต่อเรื่องอื่นที่น่าสนใจ:

 

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids