ปลายฝนต้นหนาวแบบนี้เด็กเล็กมักเจ็บป่วยเป็น ‘โรคหวัด’ ที่นอกจากจะทำให้เกิดการติดเชื้อในทางเดินหายใจแล้ว ยังอาจลุกลามจนเกิดการติดเชื้อในระบบอวัยวะอื่นๆ อย่าง ‘หู’ ได้อีกด้วย ลูกน้อยอาจ หวัดขึ้นหู ได้
พญ. อุมาพร พนมธรรม นายแพทย์โสต ศอ นาสิก ประจำสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กล่าวว่า “ช่วงเปลี่ยนฤดูเป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ต้องใส่ใจสุขภาพของลูกน้อยเป็นพิเศษ เพราะสภาพอากาศที่แปรปรวนอาจทำให้ลูกน้อยเป็นโรคหวัดได้ง่าย ซึ่งอาจลุกลามจากระบบทางเดินหายใจไปสู่อวัยวะอื่นๆ ข้างเคียงอย่างหู ที่ก่อให้เกิด ‘โรคหูชั้นกลางอักเสบ’ หรือรู้จักกันดีในชื่อ ‘โรคหวัดขึ้นหู’ ที่อาจนำไปสู่การบกพร่องทางการได้ยินชนิดถาวรได้”
มาทำความรู้จักกับ ‘โรคหวัดขึ้นหู’ กัน!
‘โรคหูชั้นกลางอักเสบ’ หรือ ‘โรคหวัดขึ้นหู’ มักเกิดกับผู้ป่วยที่ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น เป็นหวัด ลำคออักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ แล้วเชื้อเกิดลุกลามผ่านท่อปรับความดันของหูที่อยู่ในโพรงหลังจมูก หรือ ‘ท่อยูสเตเชี่ยน (Eustachian tube)’ เข้าไปยังหูชั้นกลาง
ทำให้เกิดอาการปวดหูข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง มีไข้สูง การได้ยินลดลง หูอื้อ ซึ่งถ้าปล่อยอาการทิ้งไว้อาจทำให้แก้วหูทะลุ จนมีน้ำไหลออกมาจากหู โดยโรคดังกล่าวส่วนมากจะเกิดในเด็กเพราะท่อยูสเตเชี่ยนสั้นกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งพบว่าร้อยละ 80 ของเด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ขวบ เคยเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบอย่างน้อย 1 ครั้ง
การสังเกตอาการ ‘หวัดขึ้นหู’ ในเด็กๆ
ทั้งนี้ พญ. อุมาพร ได้แนะนำวิธีการสังเกตอาการเบื้องต้นว่า “เมื่อลูกเป็นหวัดควรหมั่นสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิด โดยในกลุ่มเด็กเล็กที่ยังพูดไม่รู้เรื่องหรือพูดไม่ได้ ผู้ปกครองอาจต้องสังเกตพฤติกรรมของเด็กอื่นๆ เช่น สังเกตว่าเด็กร้องไห้โยเยหรือร้องไห้เสียงดังโดยไม่ทราบสาเหตุหรือไม่ เด็กเอามือป้องหูตัวเองหรือถ้าใครไปถูกหูก็ร้องไห้ขึ้นมาทันทีหรือเปล่า เป็นต้น
สำหรับกลุ่มเด็กโต สามารถสังเกตพฤติกรรมเหล่านี้ เช่น ลูกบ่นว่ามีอาการปวดหู หูอื้อ หรือได้ยินไม่ชัดเจน บริเวณช่องหูของลูกมีกลิ่นเหม็น การพูดเสียงดังกว่าปกติ เปิดทีวีเสียงดังกว่าปกติ ไม่ค่อยสนใจเรียน อาการดื้อ ไม่สนใจเมื่อถูกเรียก ซึ่งผู้ปกครองควรพาเด็กไปพบแพทย์ทันที เพราะหากปล่อยให้เป็นระยะเวลานาน โดยไม่ได้รักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจส่งผลทำให้เกิดความบกพร่องการได้ยินแบบถาวรได้”
อ่านต่อ “วิธีตรวจและรักษาทำอย่างไร?” คลิกหน้า 2
วิธีตรวจและรักษาทำอย่างไร?
“สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคจะใช้เครื่องตรวจวัดความดันในห้องหูชั้นกลาง และใช้กล้องส่องหู เพื่อตรวจสอบความรุนแรงของอาการโดยไม่มีความเจ็บปวดใดๆ จากนั้นจึงเริ่มต้นการรักษาด้วยยารักษาโรคทั้งอาการหวัดและอาการหูชั้นกลางอักเสบไปพร้อมกัน
“สำหรับบางกรณีอย่างผู้ป่วยเด็กที่มีโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วย อาทิ เพดานโหว่ ดาวน์ซินโดรม หรือผู้ป่วยที่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 3 เดือน หรือมีอาการรุนแรงขึ้นหลังรักษาด้วยยา แพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยการฝังท่อปรับความดันแก้วหู โดยวิธีนี้จำเป็นต้องวางยาสลบ และพักฟื้นที่โรงพยาบาลเพียง 1 วัน หรือบางกรณีก็ไม่ต้องนอนพักฟื้นเลย ซึ่งเมื่ออาการดีขึ้นแล้ว ร่างกายจะดันท่อที่ฝังให้ออกมาเอง” พญ. อุมาพร กล่าว
แม้ว่าโรคหวัดจะเป็นโรคที่ทุกท่านคุ้นเคยและเห็นว่าสามารถรักษาให้หายได้เอง แต่สำหรับลูกน้อย อาการหวัดธรรมดาก็อาจเป็นปัญหาที่ไม่ธรรมดาที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในอนาคตได้เสมอ หากไม่รีบรักษาหรือรักษาผิดวิธี
หากผู้ปกครองท่านใดที่สงสัยว่าลูกน้อยของตนเองอาจเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบ แต่ไม่มีเวลาพามาพบแพทย์ในเวลาราชการได้ สามารถนำบุตรหลานของท่านเข้ามาที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) ซึ่งได้เปิดบริการคลินิกโสต ศอ นาสิก นอกเวลาราชการ ตามวันและเวลาดังนี้
- วันจันทร์ (มีบริการตรวจการได้ยินและใส่เครื่องช่วยฟัง โดยวิธี ABR, ASSR, OAE, A-ABR, Auoliogram,Tympanogram) 16:00-20:00 น.
- วันเสาร์ 8:00-12:00 น.
- วันพุธ 16:00-20:00 น.
และจะมีการขยายเวลาการให้บริการในวันและเวลาอื่นเร็วๆ นี้ ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 1415 ต่อ 2301 2501
ขอบคุณข้อมูลจาก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก)
ภาพ : Shutterstock
Save
Save