AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

ลูกเป็นไข้หวัด ไม่รับประทานยา จะหายได้หรือไม่?

คำถามนี้คุณพ่อคุณแม่คงเคยสงสัย เมื่อ ลูกเป็นไข้หวัด ถ้าไม่รับประทานยา แล้วลูกน้อยจะหายได้มั้ยนะ? เพราะยาถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจจะให้โทษมากกว่าส่งผลดีได้เช่นกัน ยาบางอย่างจำเป็นต้องรับประทานต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น เช่น ยาลดไข้ รับประทานเมื่อมีไข้

ยาที่คุณพ่อ คุณแม่ มักให้ลูกน้อยรับประทานเวลาที่เป็นไข้หวัด และเจ็บคอ มีดังนี้

1.ยาลดไข้ แก้ปวด เช่น พาราเซตามอล รับประทานเฉพาะเมื่อเป็นไข้หรือปวดศีรษะ ถ้าไม่มีไข้ ไม่ปวดหัว ไม่ต้องรับประทาน ห้ามใช้แอสไพรินในเด็กที่เป็นไข้หวัดอย่างเด็ดขาด เพราะอาจเกิดการแทรกซ้อนรุนแรง

2.ยาแก้คัดจมูก ถ้าไม่คัดจมูก ไม่ต้องรับประทาน ถ้ามีน้ำมูกไหล ควรเช็ดหรือล้างจมูกด้วยน้ำสะอาด ไม่ควรรับประทานยาแก้แพ้เพื่อลดน้ำมูก เพราะทำให้น้ำมูกหรือเสมหะข้นเหนียวสั่งออกยาก หายใจลำบาก

3.ยาปฏิชีวนะ มักเรียกผิดว่าเป็นยาแก้อักเสบ ยาปฏิชีวนะเป็นยาอันตราย และมีการใช้อย่างผิดๆ โดยเฉพาะในโรคหวัดเจ็บคอ เช่น เพนนิซิลลิน อะม็อกซีซิลลิน

อ่านต่อ “ยาแก้อักเสบ กับยาปฏิชีวนะ เหมือนกันหรือไม่?” คลิกหน้า 2

ยาแก้อักเสบ กับยาปฏิชีวนะ เหมือนกันหรือไม่?

ยาแก้อักเสบ กับยาปฏิชีวนะไม่เหมือนกัน แต่คนจำนวนมากเข้าใจผิด เรียกสับสน ทำให้ใช้ยาผิด

คนส่วนใหญ่มักเรียกผิดว่า ยาปฏิชีวนะ เป็นยาแก้อักเสบ เพราะเมื่อติดเชื้อแบคทีเรียแล้วกินยาปฏิชีวนะ ยาจะไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของต่อมทอนซิลอักเสบเป็นหนอง เมื่อเชื้อตายไปอาการคออักเสบ(เจ็บคอ คอแดง เป็นหนอง) จะลดลงเองโดยอัตโนมัติ คนจึงมักเรียกผิดว่าเป็นยาแก้อักเสบ ทำให้เข้าใจผิด และใช้ยาผิดประเภท คิดว่าเมื่อมีคออักเสบ ต้องใช้ยานี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ควรใช้

อ่านต่อ “เมื่อเป็นไข้หวัด จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะหรือไม่?” คลิกหน้า 3

เมื่อเป็นไข้หวัด เจ็บคอ จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งหรือไม่?

ไม่จำเป็น เพราะอาการเจ็บคอเกิดขึ้นได้จาก 2 สาเหตุ คือ

1.เกิดจากการติดเชื้อไวรัส (ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ)

2.เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ)

เด็กที่เป็นหวัดเจ็บคอส่วนใหญ่เป็นเพราะติดเชื้อไวรัส การกินยาปฏิชีวนะจึงไม่ทำให้หายป่วย เพราะยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อไวรัสไม่ได้ และยังมีโอกาสเสี่ยงอันตรายจากผลข้างเคียงของยาต่อร่างกายด้วย

จะรู้ได้อย่างไรว่า ติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย?

1.เจ็บคอจากการติดเชื้อ “แบคทีเรีย”

อาการ: ส่วนใหญ่ไม่มีอาการไอ และมักไม่มีน้ำมูก ลิ้นไก่บวมแดง มีจุดหนองที่ต่อมทอนซิล ทอนซิลบวมแดง คอแดง มีฝ้าสีเทาที่ลิ้นเป็นบริเวณกว้าง

วิธีรักษา: ปรึกษาเภสัชกรหรือไปพบแพทย์ เพื่อวินิจฉัยว่าควรใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่

2.เจ็บคอจากการติดเชื้อ “ไวรัส”

อาการ: ส่วนใหญ่มักมีน้ำมูกและไอ อาจมีเสียงแหบ และเจ็บคอร่วมด้วย ทอนซิลบวมแดง คอแดง

วิธีรักษา: หายเองได้ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย การพักผ่อนและกลั้วคอด้วยน้ำเกลือจะช่วยให้หายเร็วขึ้น

เครดิตภาพ: องค์การอาหารและยา, กระทรวงสาธารณะสุข

อ่านต่อ “หวัดเจ็บคอจากเชื้อไวรัส หายเองได้จริงหรือ?” คลิกหน้า 4

หวัดเจ็บคอจากเชื้อไวรัส หายเองได้จริงหรือ?

การช่วยเช็ดตัวลดไข้ จัดยาที่จำเป็น และหาอาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊ก ให้ลูกรับประทาน รักษาบริเวณลำคอของลูกน้อยให้อบอุ่น และให้ลูกดื่มน้ำมากๆ การกลั้วคอด้วยน้ำเกลือ จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอหรือระคายเคืองในคอของลูกน้อได้ ช่วยให้ภูมิต้านทานร่างกายของลูกแข็งแกร่ง เพียงไม่กี่วันเชื้อไวรัสหวัดก็ต้องล่าถอยไปเอง

น้ำมูกหรือเสมหะสีเขียวเหลือง ต้องกินยาปฏิชีวนะใช่หรือเปล่า?

ไม่ เพราะการมีน้ำมูกหรือเสมหะข้นและเป็นสีเหลืองหรือเขียว ไม่ได้แปลว่าเกิดการติดเชื้อแบคทีเรีย โรคหวัดในระยะใกล้หาย จะมีอาการดีขึ้น น้ำมูกจะลดลง อาจเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียวโดยเฉพาะในตอนเช้า ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นลักษณะอาการของโรคหวัดตามปกติ คนที่เป็นหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน มักจะไอนานเป็นสัปดาห์ และมีเสมหะสีเขียวเหลืองได้ จึงไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะทุกครั้งไป

อ่านต่อ “กินยาปฏิชีวนะ เผื่อไว้ก่อน ไม่ดีหรือ?” คลิกหน้า 5

กินยาปฏิชีวนะ เผื่อไว้ก่อน ไม่ดีหรือ?

ไม่ดี ไม่ควรทำเป็นอันขาด ถ้าเป็นหวัดจากเชื้อไวรัส แล้วรับประทานยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย จะไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ เลย แต่จะได้รับโทษหรือเสี่ยงอันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะ คือ การแพ้ยา และดื้อยา

ผู้ที่แพ้ยาอาจมีผื่นขึ้น ถ้าแพ้ยารุนแรงอาจทำให้หายใจไม่ออก ผิวหนังหลุดลอกทั่วตัว เม็ดเลือดแดงแตก ตับอักเสบ เป็นต้น กล่องยาปฏิชีวนะ จะเห็นคำเตือนว่าเป็น “ยาอันตราย” ยานี้อาจทำให้เกิดการแพ้ และอาจเป็นอันตรายถึงตายได้

วิธีป้องกันและลดความเสี่ยงที่จะแพ้ยา

1.ใช้ยาเท่าที่จำเป็น ไม่ใช้ยาอย่างพร่ำเพรื่อ

2.ถ้าเคยแพ้ยา ควรจำชื่อยานั้นให้ได้ หรือจดชื่อยาพกไว้กับตัว

3.บอกแพทย์หรือเภสัชกรว่าแพ้ยานี้ เมื่อไปรับการรักษาทุกครั้ง

4.ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการแพ้ยาได้

เชื้อดื้อยา คืออะไร?

ทุกครั้งที่กินยาปฏิชีวนะ เชื้อแบคทีเรียที่อ่อนแอจะตายไป ส่วนที่เหลือก็จะมีการกลายพันธุ์ หรือทนต่อยาปฏิชีวนะ เรียกว่า เชื้อดื้อยา แปลว่ายาปฏิชีวนะชนิดนี้ใช้กับแบคทีเรียเหล่านี้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว ทำให้เราต้องเปลี่ยนไปใช้ยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ มักมีอันตรายมากกว่าและมีราคาแพงกว่ายาเดิม คนที่กินยาปฏิชีวนะบ่อยเกินไป เชื้อโรคก็เริ่มปรับตัวสู้กับยา

เครดิต: องค์การอาหารและยา, กระทรวงสาธารณะสุข