อุทาหรณ์! เด็กชายถูกม้ากระดกใน สนามเด็กเล่น กระแทกอกเสียชีวิต หมอบอกไม่เป็นอะไรมาก กลับมานอนรักษาอาการอยู่บ้านได้ 3 วัน สุดท้ายเสียชีวิตคาอ้อมกอดแม่
สุดเศร้า! เด็กชายวัย 12 ถูกม้ากระดกใน สนามเด็กเล่น
กระแทกอกเสียชีวิต
เรียกได้ว่าเป็นอุทาหรณ์สุดเศร้าอีกหนึ่งเรื่อง กับเหตุการณ์เสียชีวิตที่เกิดจาก ภัยอันตรายใน สนามเด็กเล่น ของเด็กชายอายุ 12 ปี ที่ไปเล่นม้ากระดก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขณะเล่นกับเพื่อน และถูกยกกระดกไปอยู่ด้านบนสูงจากพื้นประมาณ 1 เมตรเศษ แต่เพื่อนที่เล่นด้วยกันได้ลุกออกจากที่นั่งอย่างกะทันหัน ทำให้ม้ากระดกตกกระแทกพื้นอย่างแรง และราวเหล็กคล้ายตัว T ที่ทำไว้สำหรับเป็นที่จับกระแทกเข้าหน้าอกอย่างแรง
เมื่อพาไปโรงพยาบาล หมอบอกไม่เป็นอะไรมาก จึงกลับมานอนรักษาอาการปวดท้องอยู่บ้าน สุดท้ายเสียชีวิตคาอ้อมกอดแม่ และต้องรีบจัดการเผาศพเพราะเอาไว้นานไม่ได้ เพราะไม่มีเงินค่าใช้จ่าย อีกทั้งประกันชีวิตหมู่ที่ทางโรงเรียนทำให้บอกว่าจะช่วยค่าทำศพเพียง 10,000 บาท เพราะแพทย์ระบุในใบมรณะบัตรว่า เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้คุณแม่ของเด็กชายผู้เสียชีวิตได้เล่าให้กับนักข่าวอมรินทร์ทีวีว่า..
เธอและลูกชายได้ไปชมและเชียร์กีฬาของหมู่บ้านที่สนามกีฬาของ อบต. โดยลูกชายก็ได้ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นห่างออกไปประมาณ 100 เมตร ต่อมาเวลาประมาณ 15.00 น. ลูกชายเดินเอามือกุมท้องเข้ามาหา พอถึงก็นอนหงายลงกับพื้นสนามหญ้า แม่จึงสอบถามได้ความว่าถูกที่จับม้ากระดกกระแทกเข้าที่ท้อง ตนจึงได้เอายาหม่องทาให้
จนรุ่งเช้าของวันใหม่ ลูกชายก็ยังบ่นว่าปวดท้องอยู่และมีอาการอาเจียนร่วมด้วยหลายครั้ง จึงได้ไปลาครูให้แล้วตัดสินใจพาไปหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่ง หมอก็สอบถามอาการและตรวจเบื้องต้น พร้อมได้ฉีดยาให้ 1 เข็มและให้ยามากิน โดยบอกว่าเป็นอาการของโรคกระเพาะอักเสบ ให้กลับไปรักษาตัวต่อที่บ้าน
จนกระทั่งในเช้าอีกวันตนได้ต้มโจ๊กจะเอาไปป้อนลูกซึ่งนอนอยู่ในห้อง แต่พอไปถึงกลับก็พบว่าลูกมีอาการเบิกตาโพรงและหายในรวยริน จึงรีบเข้าไปอุ้มลูกเอาไว้ในอ้อมกอดแล้วลูกก็เสียชีวิต
เบื้องต้น ครอบครัวเชื่อว่าน้องน่าจะเสียชีวิตจากแรงกระแทก ซึ่งอาจทำให้อวัยวะภายในได้รับความกระทบกระเทือน ถึงขั้นแตกหัก ซึ่งทางคุณแม่เองก็ไม่ได้ผ่าชันสูตรศพเนื่องจากไม่อยากให้น้องเจ็บไปกว่านี้ และฐานะยากจนไม่มีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ ทั้งนี้คุณแม่จึงได้ฝากเตือนเป็นอุทาหรณ์สำหรับการเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ใน สนามเด็กเล่น ให้พ่อแม่คอยดูและระวังลูกให้ดีเพราะอาจจะได้รับอันตรายได้
ขอบคุณข้อมูลและคลิปข่าวจาก AMARIN TVHD
จากข่าวการเสียชีวิตของเด็กชายวัย 12 ที่ถูกเครื่องเล่นม้ากระดกใน สนามเด็กเล่น กระแทกหน้าอกจนเสียชีวิต ก็ถือเป็นอุทาหรณ์ที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นที่จะต้องคอยสอดส่องดูแลและระมัดระวังลูกน้อยทุกครั้งที่ปล่อยให้ไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ในสนามเด็กเล่น ซึ่งถ้าเป็นเด็กเล็กสำคัญมากว่าไม่ควรปล่อยให้ลูกเล่นตามลำพัง และต้องตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ในสนามเด็กเล่นก่อนทุกครั้งว่าจะปลอดภัยกับลูกรึเปล่า ไม่ว่าจะเป็น พื้นสนาม เครื่องเล่นอยู่ในสภาพแข็งแรงมั่นคงไม่ และแต่ละอย่างตั้งไว้ห่างกันหรือดีหรือเปล่า นอกจากนี้ เสื้อผ้าของ ลูกก็เป็นปัญหาที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นขณะเล่นได้
ทั้งนี้อย่าลืมสำรวจบริเวณโดยรอบว่าปลอดภัยรึเปล่า เช่น มีเศษแก้วเหล็กแหลม ขวด กระป๋อง หรือไม่ สถานที่เล่นใกล้ถนนหรือไม่ มีรั้วกั้นหรือไม่ และสถานที่ควรจะอยู่ในร่มเพื่อป้องกันลูกผิวไหม้จากแดดด้วย
อ่านต่อ >> “ภัยอันตรายในสนามเด็กเล่นที่พ่อแม่ต้องสอนลูกให้ระวัง”
คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ภัยอันตรายใน สนามเด็กเล่น ที่พ่อแม่ต้องสอนลูกให้ระวัง
สำหรับตำแหน่งที่ได้รับอุบัติเหตุเรียงจากมากไปหาน้อยคือ แขนขา มือ นิ้วมือ นิ้วเท้า ศีรษะ คอ หน้าอก ท้อง โดยมากเป็นกระดูกหักและข้อเคลื่อน ส่วนอายุที่พบบ่อยคือ 5-9 ปี และเวลาที่เกิดคือช่วงกลางวัน … อย่างไรก็ตามนอกจากการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย (ในเบื้องต้น) แล้ว สิ่งสำคัญยิ่งที่หลายคนอาจลืมนึกถึง นั่นก็คือ ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็ก ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ญาติผู้ใหญ่ หรือพี่เลี้ยงก็ตาม ก็จะต้องปฏิบัติภารกิจเพื่อความปลอดภัยของเด็กๆ ด้วย ซึ่งทาง CSIP ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก ได้ให้คำแนะนำ เกี่ยวกับเรื่องคำพูดการสอนลูกให้เล่นอย่างระวังในสนามเด็กเล่น ไว้ดังนี้
1. อันตรายจากกระดานลื่น พบบ่อยที่สุด คือ เด็กๆ มักจะสไลเดอร์ด้วยท่าพิสดาร เช่น แทนที่จะนั่งแล้วปล่อยให้ไหลลงไปตามปกติ กลับใช้หัวเข่าไถลงไป นอนหงายลงไป หรือ เดินขึ้นเดินลงตรงรางลื่นและที่อันตรายสุด ก็คือ นอนคว่ำเอาหัวล
>> ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องห้ามและต้องตักเตือนหากเห็นเด็กทำเช่นนั้น ทั้งนี้กระดานลื่นที่ปลอดภัยจะต้องมีราวจับทั้ง 2 ข้าง และราวจับก็ต้องทอดยาวตลอด ตั้งแต่บันไดขั้นแรกกระทั่งถึงพื้นยกระดับ ส่วนราวจับก็ต้องมีขนาดที่เด็กจะกำได้โดยรอบ ตรงพื้นที่ยืนรอก่อนจะลงรางลื่น ก็ต้องมีผนังกันตกทั้งสองข้าง รางลื่นจะต้องโค้งมน แต่มีพื้นผิวที่ราบเรียบตลอดแนว และก่อนจะให้เด็กๆเล่นควรเช็กใช้มือสัมผัสว่ามีรอยปูดปม มีรอยแหลมๆคมๆใดหรือไม่
นอกจากนั้นการสัมผัสยังทำให้รู้ว่า พื้นผิวของรางลื่นในขณะนั้นมีความร้อนสูงหรือไม่? เพราะการอยู่กลางแดดจัดนานๆ ทำให้เกิดความร้อนสะสมบนผิวของรางลื่น (ที่โดยมากมักทำด้วยสังกะสี หรือโลหะอื่นๆ) ขืนปล่อยให้เนื้ออ่อนๆของเด็กๆ ถูไถลลงมากับแผ่นโละร้อนจัด มีหวังได้รอยแผลไหม้แน่ๆ
สิ่งที่พ่อแม่ควรพูดสอนลูก คือ … เพื่อความปลอดภัย การลงจากกระดานลื่น จะต้องอยู่ในท่านั่ง และเอาฝ่าเท้าลงก่อนเสมอ เมื่อลงถึงพื้นแล้วก็ให้ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากกระดานลื่นทันที เพราะหากมีคนอื่นกำลังลงตามมาจะได้ไม่ชนกัน
2. เครื่องเล่นปีนป่าย-ห้อยโหน แม้ว่าเด็กเล็ก (วัยไม่เกิน 5 ขวบ) จะชอบปีนป่าย แต่เครื่องเล่นชนิดนี้ยังไม่เหมาะ เพราะนอกจากเครื่องเล่นที่มักจะมีความสูงเกินกว่าวัยของเด็กแล้ว ก็ยังไม่มีทางลงที่เหมาะอีกด้วย ทั้งนี้เด็กๆ ที่จะมาเล่นเครื่องเล่น ไม่ควรมีอะไรมาคล้องคอให้เสี่ยงอันตรายเลย ไม่ว่าจะเป็นเชือกผูก, จุ๊บนมยาง, สายสร้อย,สายสิญจน์, ผ้าพันคอ หรือแม้แต่ลักษณะของเสื้อผ้าที่เด็กสวมใส่ก็ไม่ควรมีสายมีเชือกระโยงระยางให้เกะกะ
สิ่งที่พ่อแม่ควรพูดสอนลูก คือ … ทุกครั้งเมื่อจะปีนลงให้ลูกเอี้ยวไปมองด้านหลังก่อนว่า มีใครปีนสวนขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามีก็ให้เขาปีนขึ้นมาก่อน
เพราะอุบัติเหตุที่มักเกิดขึ้น ก็คือ คนหนึ่งปีนลงโดยไม่เหลียวมองหลัง ในขณะที่อีกคนก้มหน้าก้มตาปีนขึ้น
สอนลูกว่า … ห้ามเล่นเครื่องปีนป่าย (รวมทั้งเครื่องเล่นทุกชนิด) ที่เปียกน้ำเพราะมันลื่นทำให้พลัดตกได้ง่าย
สอนลูกว่า … ก่อนจะทิ้งตัวลงมาจากเครื่องปีนป่าย จะต้องลงโดยท่าย่อเข่า และใช้เท้าสองข้างถึงพื้นพร้อมๆกัน ไม่ใช่ทิ้งขาหรือทิ้งก้นลงมาเลย
Must read >> 5 วิธีการ ปฐมพยาบาล ลูกกระดูกหัก
3. ชิงช้า อีกหนึ่งในของเล่นยอดฮิต ในสนามเด็กเล่น ซึ่งควรทำด้วยผ้า ยาง หรือวัสดุที่อ่อนนุ่ม มีขอบมนและมีผิวเรียบซึ่งย่อมปลอดภัยว่าชิงช้าที่ทำด้วยโละหรือไม้ เพราะจะเสี่ยงต่อการโดนกระแทกหากเกิดพลัดตก ทั้งนี้ชิงช้าที่จัดวางใกล้กันเกินไป หรือใกล้กับเสาคานด้านข้างมักเกี่ยว ชนกัน หรือ กระแทกเสาคานข้าง ได้ ตามมาตรฐานระยะห่างของที่นั่งชิงช้ากับโครงด้านข้าง จะต้องไม่น้อยกว่า 75 ซม. และรายะห่างระหว่างที่นั่งต้องไม่น้อยกว่า 60 ซม.
สิ่งที่พ่อแม่ควรพูดสอนลูก คือ … การนั่งชิงช้านั้น ควรนั่งตรงกลางของที่นั่งเท่านั้น และห้ามขึ้นไปยืนหรือคุกเข่าบนที่นั่งโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจตกลงมาจนได้รับบาดเจ็บ
สอนลูกว่า … เพราะว่าหนูยังเด็ก ยังตัวเล็กนัก จึงไม่ต้องไกวชิงช้าให้คนอื่นนั่ง แล้วก็ไม่ให้คนอื่นมาไกวชิงช้าให้เรา และถ้าใครมาไกวชิงช้าให้เราเราก็ต้องห้ามปรามทันที เพราะเด็กๆมักจะออกแรงไกวอย่างสุดๆ โดยไม่ได้คิดถึงอันตรายกันเลย
***ถ้าลูกอายุยังไม่ถึง 5 ขวบ แต่อยากนั่งชิงช้า พ่อแม่ก็ควรประคองตัวประคองหลังเขาไว้ให้ดีเนื่องจากเด็กวัยนี้ยังทรงตัวได้ไม่ค่อยเก่ง หากไม่ระมัดระวังก็อาจเกิดอันตรายได้
4. เครื่องเล่นใน สนามเด็กเล่น โดยมากจะมีสีฉูดฉาดแบบการ์ตูน เพื่อดึงดูดใจเด็กๆ แต่หากว่าสีนั้นลอกหลุดร่อน ก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจมีสารตะกั่วปนเปื้อน เมื่อลูกไปสัมผัสเข้า พิษสารตะกั่วก็มีโอกาสเข้าสู่ร่างกาย ส่งผลเสียหายต่อการพัฒนาการทางสมอง
5. สนามเด็กเล่น ที่ปลอดภัยจะต้องไม่คับแคบ ตาควรมีความกว้างไม่น้อยกว่า 5 เมตร หรือมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 53 ตารางเมตร และ เครื่องเล่นแต่ละชิ้น ต้องวางห่างกันไม่น้อยกว่า 180 ซ.ม. เพื่อกันการถูกชนกระแทกโดนเครื่องเล่น ในขณะที่เด็กๆวิ่งเล่น หรือเกิดพลัดตกจากเครื่องเล่น
จะเห็นได้ว่าการจะทำให้ สนามเด็กเล่น เป็นสถานที่ปลอดภัย มีประโยชน์ และเหมาะสำหรับเด็กๆ นั้น นอกจากคุณพ่อคุณแม่จะต้องคอยดูแลลูกอย่างใกล้ชิดแล้ว บรรดาหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ก็ควรจะต้องตื่นตัวและมีสามัญสำนึกทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดอีกด้วย
อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก :
- 5 ประโยชน์ของการ พาลูกเล่นสนามเด็กเล่น
- อย่าให้ “สนามเด็กเล่น” ทำร้ายลูก
- 8 วิธีป้องกันลูก! ไม่ให้ได้รับอันตรายจากของเล่นเด็ก
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.csip.org , www.shawpat.or.th , www.thaihealth.or.th
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่