AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

เลือดกำเดาไหล แบบนี้…? อันตรายกับลูกแน่นอน!

เมื่อลูกมี เลือดกำเดาไหล อาจทำให้คุณพ่อคุณแม่หลายคนตื่นตระหนกตกใจกลัว และกังวลว่า ลูกกำลังเป็นโรคอะไรหรือเปล่า ซึ่งสำหรับเด็กบางคนอาจไม่น่ากังวล แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ควรละเลย เพราะถ้าลูกมี เลือดกำเดาไหล ผิดปกติ ก็ต้องรีบดูแลรักษานะคะ เพื่อมาให้กลายเป็นเรื่องบานปลาย

พ่อแม่ควรรู้ อาการ เลือดกำเดาไหล ในเด็กแบบไหนอันตราย!

หากพูดถึงอาการ เลือดกำเดาไหล เป็นภาวะที่พบบ่อยในเด็กเล็ก 2-3 ขวบไปจนถึงวัยประถมต้น มักมีอาการเลือดออกที่ไม่รุนแรง และเลือดมักหยุดได้เองภายใน 5-10 นาที หลังจากมีการบีบจมูกเบา ๆ ซึ่งอาจเกิดจากการแคะ แกะ เกาบริเวณจมูกอย่างแรง จนทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุจมูกแตกง่าย ทว่าอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย ไม่ใช่อาการที่เราควรมองข้าม เพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณความผิดปกติของระบบภายในโพรงจมูก

ซึ่งการที่เลือดเหล่านี้ไหลออกมา จะออกทางด้านหน้าหรือหลังโพรงจมูก สามารถไหลออกมาจากรูข้างเดียวหรือทั้งสองข้างพบได้ในทุกเพศทุกวัย และนอกจากนี้ยังพบในช่วงที่มีอากาศหนาวมากกว่าในช่วงอากาศชื้น หรืออากาศที่แห้ง หรือเกิดจากการได้รับอุบัติเหตุบริเวณใบหน้า หรือศีรษะ หรือ มีโรคประจำตัว เช่น โรคภูมิแพ้จมูก เป็นต้น อาการดังกล่าวมักหายได้เองเมื่ออายุโตขึ้น แต่จะพบบ้างในเด็กบางคนที่มีรูปโครงสร้างจมูกที่ผิดปกติ ซึ่งจะทำให้มีเลือดกำเดาไหลได้ง่ายขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม เลือดกำเดาไหลอาจเป็นอาการของโรคที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรทราบว่าเมื่อใดที่ลูกน้อยมีเลือดกำเดาไหลมากจนอาจเป็นอันตรายและควรพาไปพบแพทย์

สาเหตุเลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไร ?

สาเหตุของเลือดกำเดาไหลเกิดจากหลายปัจจัยด้วยกัน แพทย์จะมีการแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ซึ่งได้แก่

1. กลุ่มที่มีเลือดออกจำนวนน้อย และสามารถหยุดหายไปได้แต่มีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย เป็นมาหลายครั้ง พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ที่มีอายุยังไม่มาก เลือดดังกล่าวจะไหลออกมาที่โพรงจมูกด้านหน้า เรียกว่า “anterior epistaxis”

2. กลุ่มที่มีเลือดกำเดาไหลออกเพียงครั้งเดียว แต่มีปริมาณเลือดออกมาก ไม่สามารถหยุดอาการได้เอง และมักหาสาเหตุไม่พบในเบื้องต้น พบได้บ่อยในผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคความดันโลหิตสูง การไหลของเลือดจะไหลจากโพรงจมูกด้านหลัง เรียกว่า “posterior epistaxis”

ตำแหน่งเลือดกำเดาไหล บอกสาเหตุได้

ตำแหน่งที่มีอาการเลือดกำเดาไหลออกมาจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ตำแหน่งหลักๆ ด้วยกัน ซึ่งจะสามารถบอกได้คร่าวๆ ว่าอาการเลือดกำเดาไหลเกิดจากอะไร

1. เลือดกำเดาหลจากด้านหน้าโพรงจมูก เป็นอาการที่พบได้มากถึงร้อยละ 90 ของตำแหน่งที่เลือดกำเดาไหลทั้งหมด พบได้ทั้งในเด็กและวัยรุ่นเป็นจำนวนมาก สาเหตุมักมาจากการแคะจมูกด้วยความรุนแรง เลือดที่ออกมาจะมาจากผนังกั้นที่ส่วนของช่องจมูกด้านหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยหลอดเลือดหลายแขนงรวมกันอยู่

2. เลือดกำเดาจากด้านหลังโพรงจมูก ผู้ป่วยจะสัมผัสได้ถึงอาการเลือดกำเดาไหลลงไปในคอ ได้กลิ่นคาวเลือด เป็นอาการที่รุนแรงกว่าชนิดแรก สาเหตุมักมาจากผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง และในผู้สูงอายุที่มีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว รวมไปถึงผู้ป่วยที่มีภาวะเนื้องอกในโพรงจมูก ซึ่งตัวเนื้องอกจะมีเส้นเลือดขนาดเล็กมาหล่อเลี้ยงเป็นจำวนมาก การสังเกตความผิดปกติ แพทย์จะใช้วิธีการส่องกล้องตรวจเข้าไปด้านในเพื่อหาต้นตอของอาการเลือดออก

3. เลือดกำเดาไหลจากด้านบนโพรงจมูก เลือดกำเดาที่ไหลออกออกจากด้านบนโพรงจมูก มักจะเกิดขึ้นจากโรคเป็นสาเหตุ แต่พบได้น้อย ซึ่งมักจะมาจากการผ่าตัดไซนัส, เนื้องอกในโพรงจมูกบางชนิด และอุบัติเหตุที่ทำให้เกิดการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะ เป็นต้น

อ่านต่อ >> อาการเลือดกำเดาไหล (อันตราย) ในเด็ก ที่พ่อแม่ควรระวัง” คลิกหน้า 2

อ่านต่อ “บทความดีๆ น่าสนใจ” คลิก!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

ภาวะเลือกกำเดาไหลในเด็ก

โดยปกติร่างกายของเราจะมีเกล็ดเลือด ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเลือดชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการป้องกันเลือดออกและช่วยในการหยุดของเลือดหากเกิดบาดแผล อาการเลือดกำเดาไหลจึงอาจเป็นอาการแสดงของโรคเลือดที่ทำให้เกล็ดเลือดลดจำนวนลงหรือทำงานผิดปกติ จึงทำให้มีเลือดออกง่ายจากเยื่อบุต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือโรคที่เกิดขึ้นภายหลัง

– โรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ เช่น โรควอนวิลล์แบรนด์ (von Willebrand disease – VWD) ซึ่งอาจมีประวัติเลือดออกง่ายหยุดยากในครอบครัว ร่วมด้วย

– โรคที่เกิดขึ้นภายหลังซึ่งทำให้เกล็ดเลือดมีปริมาณต่ำลง เช่น โรคเกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้าน ทานตนเอง (immune thrombocytopenia – ITP) ซึ่งเป็นภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่พบบ่อยในเด็กภายหลังโรคติดเชื้อประมาณ 1-3 สัปดาห์ หรือหลังได้รับการฉีดวัคซีน โรคไขกระดูกฝ่อทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างเม็ดเลือดทุกชนิดได้อย่างพอเพียง ทำให้มีโลหิตจาง ติดเชื้อง่ายเนื่องจากมีเกล็ดเลือดขาวต่ำลง และเกล็ดเลือดต่ำทำให้เลือดออกง่าย หรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่มีเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวแทรกซึมอยู่ในไขกระดูก ทำให้สร้างเม็ดเลือดที่ปกติได้ลดลง

นอกจากนี้ในรายที่มีเลือดกำเดาไหลบ่อย ๆ และเป็นเวลานาน อาจทำให้เด็กเกิดภาวะซีดจากการสูญเสียเลือดเรื้อรัง จนเกิดภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก สังเกตอาการง่าย ๆ หากเด็กมีอาการเวียนศีรษะ เป็นลมง่าย หรือ เหนื่อยง่าย ให้คุณพ่อคุณแม่รีบพาลูกน้อยไปพบแพทย์เพื่อตรวจเลือด และรับยาธาตุเหล็กไปรับประทาน

ทำไมเลือดกำเดาไหลบ่อย ?

เลือดกำเดาไหลบ่อย เกิดขึ้นได้หลายกรณี เราสามารถแบ่งชนิดที่มาจากสาเหตุที่รุนแรงและชนิดไม่รุนแรง สามารถหายได้เอง ที่พบได้ทั่วไปคือ

1. อาการระคายเคืองหรืออาการบาดเจ็บที่โพงจมูก หากผู้ป่วยมีพฤติกรรมชอบแคะจมูกแรงๆ บ่อยๆ ก็จะทำให้เลือดกำเดาไหลบ่อย มักพบในคนที่มีน้ำมูกเรื้อรัง แห้งเกรอะอยู่ด้านใน

อาการเหล่านี้มักไม่ค่อยเป็นอันตราย จะมีเลือดกำเดาไหลออกช่วงสั้น ๆ และหาไปได้เอง แต่หากมีพฤติกรรมการแคะจมูกที่รุนแรง หรือทำให้จมูกเกิดบาดแผล ก็จำทำให้มีเลือดกำเดาไหลบ่อยตามมาได้ง่าย

2. เลือดกำเดาออกในปริมาณมากภายหลังจากการได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรงจากอุบัติเหตุ ปริมาณเลือดจะมีมากในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ หายไปได้เอง ทว่าหากสังเกตพบการบาดเจ็บของจมูกเป็นเวลานาน มีเลือดกำเดาไหลนานเป็นสัปดาห์ สาเหตุอาจมาจากการที่เส้นเลือดภายในโพรงจมูกโปร่งพองจากอุบัติเหตุ

3. อาการหนาวและแห้ง อาการหนาวและแห้ง จะเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหลบ่อยได้ เนื่องจากเยื่อบุจมูกมีความแห้ง เกิดการระคายเคือง ตามมาด้วยเลือดออกได้ง่ายขึ้น

4. ภาวะอักเสบภายในโพรงจมูก มักมาจากการติดเชื้อไวรัส, ภูมิแพ้, ไซนัสอักเสบ, การสัมผัสกับสิ่งระคายเคือง, มีสิ่งแปลกปลอมในจมูก, การใช้เครื่องอัดอากาศช่วยหายใจ และการรักษาโรคหยุดหายใจขณะหลับ เป็นต้น เป็นสาเหตุที่เสี่ยงทำให้เกิดการอักเสบภายในโพรงจมูก มีเลือดคั่งภายใน เส้นเลือดฝอยแตกง่าส่วนมากสังเกตได้ว่าจะมีเลือดปนออกมาพร้อมกับน้ำมูก อาการรุนแรงแตกต่างกันไปในกลุ่มผู้ป่วย ขึ้นอยู่กับปริมาณเลือดที่ออกมาในแต่ละครั้งด้วย

อาการของเลือดกำเดาไหล มีลักษณะดังต่อไปนี้ ได้แก่

อาการเลือดกำเดาไหลที่ควรระวัง

ระดับความรุนแรงของอาการเลือดกำเดาไหลที่ไม่ควรมองข้าม เสี่ยงที่จะทำให้เลือดกำเดาไหลออกมาในปริมาณมาก จนทำให้ผู้ป่วยช็อกจนหมดสติได้ นั่นคือภาวะที่ถูกจัดอยู่ในระดับรุนแรง มีเลือดออกมาก จนทำให้น้ำในหลอดเลือดต่ำ ชีพจรเต้นเร็ว ความดันเลือดลดต่ำลง หน้ามืด รู้สึกเหมือนจะเป็นลมเวลาเปลี่ยนอิริยาบถ จะทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดมาก ควรรีบเข้ารับการรักษาเพื่อหยุดการไหลของเลือดอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดภาวะช็อกจนเสียชีวิตตามมาได้เลยทีเดียว แม้จะใช้การห้ามเลือดด้วยวิธีต่างๆ แล้วก็ตาม

อ่านต่อ >> วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกต้อง! หากลูกน้อยมีเลือดกำเดาไหล” คลิกหน้า 3

อ่านต่อ “บทความดีๆ น่าสนใจ” คลิก!

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นหากลูกน้อยมีเลือดกำเดาไหล ดังนี้

มีคุณแม่หลายท่านอาจจะยังใช้วิธีหยุด เลือดกำเดา แบบผิดๆ ด้วยการจับลูกเงยหน้าซึ่งอาจทำให้เด็กสำลัก เลือดกำเดา ลงคอได้ ซึ่งหากเห็นว่าลูกมีเลือดกำเดาออก สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำเบื้องต้น คือ

โดยคุณหมอวิรัช จิตสุทธิภากร แพทย์โรคจมูก รพ. สวรรค์ประชารักษ์ ได้เผยแพร่ภาพให้เห็นถึงวิธีหยุดเลือดกำเดาที่ขัดเจน ซึ่งใช้ได้กับทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่ถูกต้อง 4 ขั้นตอน ดังนี้

บีบจมูก

ใช้มือบีบจมูกบริเวณปีกจมูก เบา ๆ ในข้างที่มีเลือดกำเดาไหล อย่างน้อย 10 นาที การบีบจมูกจะช่วยหยุดเส้นเลือดขนาดเล็กที่รวมกันอยู่ตรงผนังกั้นจมูกด้านหน้า

หลังตรง

ในขณะที่นั่งหลังตรง ยืดตัว ศีรษะจะอยู่สูงกว่าส่วนอื่นของร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตที่สูบฉีดเลือดอยู่นั้นลดลง

ก้มหน้า

เพื่อป้องกันเลือดไหลตกลงคอจนอาจทำให้สำลัก เข้าคอ จะทำให้เกิดการระคายเคือง

อ้าปากหายใจ

การอ้าปากจะช่วยรับอากาศเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ผ่านทางโพรงจมูกที่มีเลือดไหลอยู่ อีกทั้งต้องระวังการไอ จาม เพื่อไม่ให้เส้นเลือดฝอยแตกอีก

ขอบคุณข้อมูลจาก นพ. วิรัช จิตสุทธิภากร แพทย์โรคจมูก รพ. สวรรค์ประชารักษ์

การรักษาเลือดกำเดาไหล

ทั้งนี้หากเบื้องต้นจะใช้วิธีปฐมพยาบาลดังที่กล่าวไปข้างต้นแล้วก่อน ในระหว่างที่เลือดกำเดาหยุดไหลไปแล้ว สิ่งที่ต้องคอยระวังดูแล ขณะรักษาต่อ คือ

วิธีป้องกันมิให้มีเลือดกำเดาไหลทำได้ง่ายเบื้องต้น ดังนี้

  1. ป้องกันไม่ให้บริเวณเยื่อบุจมูกของลูกน้อยแห้ง เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันและลดการแคะจมูก โดยการใช้น้ำเกลือหยอดจมูก หรือทาวาสลินเคลือบในรูจมูกของลูกก่อนนอน
  2. ดูแลอากาศในห้องนอน ไม่ให้แห้งเกินไป
  3. การรับประทานผัก ผลไม้ หรือ วิตามินซี จะช่วยให้หลอดเลือดฝอยในจมูกแข็งแรง เลือดกำเดาไหลออกน้อยลง

ดังนั้นหากคุณพ่อคุณแม่พบว่าลูกน้อยมีเลือดกำเดาไหล และไหลแบบเรื้อรัง ไหลไม่ยอมหยุด หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย ทางที่ดีคือการเข้ารับการตรวจจากแพทย์ เพื่อให้แน่ชัดว่าอาการที่เป็นอยู่นั้นเป็นอาการธรรมดา หรือจากสัญญาณเตือนของโรคในร่างกายของลูกน้อยกันแน่นะคะ

อ่านต่อ “บทความดีๆ น่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณข้อมุลจาก : mahosot.com , www.thaihealth.or.th