ยาคุมกำเนิด ป้องกัน มะเร็ง ได้ …จะมีใครรู้บ้างว่า การทานยาคุมสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้หลายประเภท เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก แต่ยาคุมกำเนิดลดอัตราการเป็นมะเร็งรังไข่ และมะเร็งโพรงมดลูกได้เช่นกัน
ยาคุมกำเนิด เป็นยาที่ทานได้สะดวก ประสิทธิภาพดี และมีการกลับมาปกติของฮอร์โมนได้เมื่อเลิกทาน สิ่งเหล่านี้ทำให้ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งที่คุณผู้หญิงต้องคำนึงถึง นั่นคือ ความเกี่ยวข้องของฮอร์โมนในยาเม็ดคุมกำเนิดกับความเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง
ยาคุมกำเนิดเสี่ยงมะเร็งจริงหรือ?
ยาคุมกำเนิด ตามท้องตลาดทั่วไป จะประกอบไปด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์ 2 ชนิด คือ ฮอร์โมนเอสโตรเจน และฮอร์โมนโปรเจสติน ซึ่งโดยปกติแล้วความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งของผู้หญิง ขึ้นอยู่กับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายสูงอยู่นานๆ เช่น
– มีประจำเดือนก่อนเวลา คือ มีก่อนอายุ 12 ปี
– ประจำเดือนหมดช้ากว่ากำหนด หรือหมดหลังอายุ 55 ปี
– มีบุตรคนแรกหลังอายุ 30 ปีขึ้นไป
– ไม่มีบุตร
ยาคุมกำเนิด ป้องกัน มะเร็งได้ จริงหรือ?
การใช้ยาคุม (ไม่ว่าจะชนิดทานหรือฉีด) จึงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จากการเพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายมากขึ้น แต่ฮอร์โมนในยาคุมอยู่ในร่างกายของเราไม่นานนัก จึงไม่ได้เป็นปัจจัยหลักในการเป็นสาเหตุของโรคมะเร็ง เป็นเพียงการเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย (ในกรณีที่ผู้ใช้ฮอร์โมนมีความเสี่ยงอยู่แล้ว) และในทางกลับกัน หากหยุดใช้ยาคุมกำเนิดมากกว่า 10 ปีขึ้นไป ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งจะลดลงเท่ากับคนที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิดอีกครั้งเช่นกัน ทั้งนี้ มะเร็งที่อาจเกิดจากการใช้ยาคุมกำเนิดเป็นเวลานาน มีดังนี้
– มะเร็งเต้านม
ยาเม็ดคุมกำเนิดมีฮอร์โมนเพศหญิง จึงเป็นข้อห้ามของคนที่เป็นมะเร็งเต้านมเพราะอาจทำให้โรคกำเริบ แต่ไม่ได้ก่อให้เกิดมะเร็งเต้านมแม้กินเป็นเวลานานๆ ทั้งนี้ข้อมูลเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดกับมะเร็งเต้านมนั้นยังไม่ชัดเจน บางการศึกษาก็ว่าไม่เกี่ยว บางการศึกษาว่าเพิ่มความเสี่ยง แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว ต่อให้ไม่ทานยาคุม คุณผู้หญิงก็เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงถึง 1 ใน 8 อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่ายาคุมจะทำให้เป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้น แต่ควรใส่ใจเกี่ยวกับการตรวจมะเร็งเต้านมเป็นประจำจะดีกว่าค่ะ
Must read : มะเร็งเต้านมคร่าชีวิต!! รู้ก่อน หายก่อน
Must read : ลดเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม ด้วยวิธีง่ายๆ
– มะเร็งปากมดลูก
การมีโอกาส ในการเกิดมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น นั่นอาจเป็นเพราะทานยาคุมกำเนิดแล้วคุณก็จะไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ดังนั้นก็จะมีโอกาสได้รับเชื้อ HPV มากขึ้น เลยเสี่ยงต่อการพัฒนาไปเป็นมะเร็งปากมดลูกมากขึ้นค่ะ แต่ถ้าตรวจเช็กมะเร็งปากมดลูกเป็นประจำ ความเสี่ยงนี้ก็จะลดลง
Must read : ฉีดฟรี! “ วัคซีน HPV ” ป้องกันมะเร็งปากมดลูก เริ่มปี 60
Must read : 10 สัญญาณเตือน มะเร็งปากมดลูก
แต่ในขณะเดียวกัน ยาคุมกำเนิดก็ยังช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งบางชนิดได้เช่นกัน มะเร็งประเภทที่ว่านี้ คือ
– มะเร็งรังไข่
– มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก
อย่างไรก็ตาม สามารถกล่าวได้ว่า ยาคุมกำเนิด ก็ยังเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตของมนุษย์ ที่ต้องการควบคุมอัตราการเกิดของคนในบ้านอยู่ดี อีกทั้งยังมีประโยชน์ดี ๆ มากมาย ที่คุณผู้หญิง ควรรู้
อ่านต่อ >> “ประโยชน์ของยาคุมกำเนิดที่คุณสาวๆ ควรรู้” คลิกหน้า 2
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ในการรับประทาน ยาคุมกำเนิดจะว่าเสี่ยงก็ใช่ จะว่าไม่เสี่ยงก็ใช่ แล้วคุณแม่ หรือคุณผู้หญิงควรจะใช้ยาคุมอย่างไร เพื่อไม่ให้เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง? สิ่งเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้หากคุณใช้ยาคุมกำเนิดอย่างถูกต้อง ดังต่อไปนี้
1. พยายามหยิบใช้เมื่อจำเป็น หรือไม่ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานจนเกินไป
2. ใช้วิธีการคุมกำเนิดชนิดอื่น เช่น ให้ฝ่ายชายใช้ถุงยางอนามัย
3. รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์
4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
5. ตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นประจำทุก 6 เดือน – 1 ปี ข้อนี้สำคัญมาก มองข้ามไม่ได้เลยค่ะ
Must read : แพทย์แนะหญิงไทย ตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูก ทุกสามปี
และถึงจะมีไว้เพื่อคุมกำเนิดก็จริง แต่รู้ไหมว่ายาเม็ดคุมกำเนิดที่ผู้หญิงทั่วโลกซึ่งยังไม่อยากตั้งครรภ์นิยมรับประทานกันนั้น ก็ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้หญิงเราอีกหลายอย่าง เช่น
- คุมกำเนิดได้ง่าย และมีประสิทธิภาพ (ถ้าทานให้ตรงเวลา และถูกต้อง)
- ลดอาการปวดท้องประจำเดือน
- ทำให้ประจำเดือนมาสม่ำเสมอ
- ลดปริมาณประจำเดือน สามารถช่วยลดปริมาณประจำเดือนมากผิดปกติได้
- ลดอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนมีรอบเดือน เช่น สิวฮอร์โมน
- ช่วยให้ประจำเดือนมาอย่างสม่ำเสมอ
- หยุดใช้ ก็สามารถตั้งครรภ์ได้เลย (สำหรับยาคุมชนิดทาน)
- ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก(โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกบาง)
- ช่วยลดอุบัติการณ์ตั้งครรภ์นอกมดลูก
- อาจช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งบางชนิดในบางคนได้เช่นโรคมะเร็งรังไข่ และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
- ช่วยลดอุบัติการณ์การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน
ถ้ายาคุมกำเนิด เสี่ยงมะเร็ง ก็ห้ามใช้ ใช่หรือไม่?
ยาคุมกำเนิดเป็นยาที่ดี มีประโยชน์ สามารถใช้ได้เหมือนเดิม เพียงแต่ต้องใช้ให้เป็น และอย่ากลัวว่าทานแล้วจะทำให้ “เป็นมะเร็ง” เพราะอันที่จริงแล้ว ยาคุม แค่ “เพิ่มความเสี่ยง” ในการเป็นมะเร็งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ปัจจัยหลักในการเป็นมะเร็งยังคงมาจากสาเหตุอื่นๆ ที่สำคัญกว่า เช่น กรรมพันธุ์ สภาพร่างกาย อาหารการกิน สภาพแวดล้อม เป็นต้น
เพราะฉะนั้น คุณแม่ๆ หรือสาวๆ คนไหนที่จะใช้ยาคุมกำเนิดคงต้องชั่งใจ และศึกษาข้อดีข้อเสียของมันให้ดี คุณสามารถใช้ยาคุมกำเนิดต่อไปได้หากใช้มันอย่างถูกวิธี และไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมะเร็งหากไม่ได้ใช้มันอย่างยาวนาน
ยาคุมกำเนิดกินได้นานแค่ไหน?
สำหรับทารรับประทานยาคุมกำเนิด สามารถทานได้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าสู่วัยทอง แต่คุณต้องไม่ใช่คนที่อายุมากกว่า 35 ปี ที่สูบบุหรี่ ไม่ได้มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ไมเกรน เบาหวาน มะเร็งเต้านม โรคเลือดแข็งตัวผิดปกติ โรคตับ โรคหัวใจ นะคะ เพราะนั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต่าง ๆ นั้นขึ้นมาได้
ทั้งนี้ เมื่อเห็นคุณประโยชน์ของยาคุมกำเนิดแล้ว ก็ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อนะคะ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อขอคำแนะนำชนิดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเองดีกว่า อันดับแรกเลยต้องใช้เพื่อการคุมกำเนิด ส่วนประโยชน์ต่างๆ ที่กล่าวมาเป็นประโยชน์ที่แถมมากับฮอร์โมนซึ่งเป็นส่วนผสมของยาเม็ดคุมกำเนิดนั่นเอง
การใช้ยาคุมกำเนิดก็ไม่ได้อันตรายอย่างที่คิดที่สำคัญก็คือ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง ตามที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้หญิง อีกมากมาย ฉะนั้นไม่ต้องกังวลมากไป เพราะอย่างไรการคุมกำเนิดก็ยังสำคัญ และเราสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้อีกหลายๆ วิธีค่ะ ที่สำคัญถ้าคุณแม่ๆ หรือคุณสาวๆ มีโรคประจำตัวบางอย่างที่ไม่แน่ใจ อย่าลืมปรึกษาแพทย์เรื่องการใช้ยาด้วยค่ะ ยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง (ถ้าไม่ลืมทาน) สามารถหาซื้อได้ง่าย และยังไม่ขัดจังหวะของคู่รักอีกด้วยนะคะ
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!
- คุมกำเนิดหลังคลอด ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ให้นม
- กินยาคุมแล้วมีลูกยาก กับความเชื่อที่แม่ควรรู้
- คุมกำเนิดถาวร อีกทางเลือกที่ดีถ้ามีลูกพอแล้ว
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.chulacancer.net , health.sanook.com , www.ladytip.com