สังเกตลูกให้ดี..โรคมะเร็งไม่ใช่เรื่องไกลตัว! แม่แชร์ประสบการณ์ละเอียด จากลูกป่วยเป็นแค่หวัดธรรมดา สู่โรคทางเดินอาหาร และสุดท้าย ลูกเป็นมะเร็ง
แม่แชร์ประสบการณ์ จากหวัดธรรมดา สุดท้าย ลูกเป็นมะเร็ง
คงไม่มีใครคิดว่าเด็กๆ หรือ ลูกตัวน้อย ๆ ของเราจะเป็นมะเร็งได้ แต่ โรคมะเร็งในเด็ก หรือ การที่ ลูกเป็นมะเร็ง ก็มีความเป็นไปได้ เพราะโรคพวกนี้ไม่เข้าใครออกใครอยู่แล้ว และสามารถพบได้ในเด็กทุกเพศทุกอายุ … เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ที่ลูกน้อยได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งสมอง โดยมีอาการเริ่มแรกในวัยเพียงแค่ 8 เดือน ซึ่งเริ่มจากแค่หวัด และจากนั้นก็ไปสู่โรคทางเดินอาหาร สุดท้ายคุณหมอก็แจ้งว่า ลูกเป็นมะเร็ง ซึ่งคุณแม่ได้เล่าประสบการณ์การป่วยของลูกน้อยนี้ในเว็บไซต์พันทิป โดยระบุว่า…
เพื่อนบอกให้ลองมาแชร์ เลยใช้ล๊อกอินแฟนมา อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ลูกสาวที่ตอนนี้อายุ 1 ขวบ 5 เดือน ให้ฟังว่าน้องและเราผ่านอะไรมาบ้าง เผื่อเป็นประโยชน์ให้กับทุกคน และอยากให้รู้ว่ายังมีเด็กป่วยด้วยโรคมะเร็งมากกว่าที่คุณคิด
(บทความนี้เป็นการรวมจากที่เคยเขียนในเฟสบุ๊คส่วนตัวมาเรียบเรียงใหม่และใส่รายละเอียดเพิ่มลงไป)
ลิด้า ลูกสาวคนที่ 2 ของเรา เริ่มมีอาการอาเจียนมาตั้งแต่ช่วง 8 เดือน พร้อมอาการเหมือนเป็นหวัดและมีเสมหะใสๆ แหวะออกมาบ่อย ก็ไม่ได้เอะใจอะไร คิดว่าเพราะไม่สบายธรรมดา จนอาเจียนเยอะมากเลยไปแอดมิดรพ.เอกชนประจำใกล้บ้าน
รอบแรกอยู่ไป 2 คืน ได้ยาพ่น ยาแก้อาเจียน ได้น้ำเกลือ พอดีขึ้นก็กลับมา นัดอีก 3 วันไป follow วันนั้นอาการเหมือนกลับมาดูไม่ดีอีก เลยแอดมิด 2 รอบ จับเอ็กซเรย์ดูทางเดินอาหารไป 2 , 3 รอบ เพราะยังมีอาเจียน มีเสมหะใสๆ และอาเจียนจนมีเมือกสีน้ำตาลคล้ายเลือดออกในกระเพาะออกมาด้วย กินได้น้อยลงเพราะอาเจียนออกตลอด น้ำหนักเริ่มลดลงเรื่อยๆ จนเราร้องไห้เมื่อเห็นน้ำหนักลูกเลยทีเดียว
สุดท้ายหมอได้ให้กลืนแป้งเพื่อเอกซเรย์ดูการกลืนสดๆ ตั้งแต่แป้งที่ผ่านจากปากลงไปสู่กระเพาะและลำไส้ ปรากฎว่าน้องก็ร้องไห้ไม่ค่อยยอมกลืนนัก แต่ก็เห็นผลการเดินทางของแป้ง เลยสรุปวินิจฉัยว่า… เป็นกล้ามเนื้อหูรูดส่วนปลาย (หูรูดก่อนไปลำไส้) มีการเกร็งตัว ทำให้อาเจียนออกมาบ่อย อาหารไหลไปไม่ถึงลำไส้ ค้างที่กระเพาะและบีบออกมา รอบนี้อยู่รพ.ประมาณเกือบ 1 เดือน (ดีที่มีประกันอยู่บ้าง อันนี้แนะนำให้แม่ๆทำตั้งแต่ลูกเกิดเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้) สุดท้ายอาการเหมือนดีขึ้นหน่อย หมอก็ให้กลับบ้าน รอบนี้ได้ยามาอย่างเยอะ ต้องกินตามเวลาเที่ยงคืน ตี 2 ก็ต้องคอยป้อน ช่วงนั้นอายุประมาน 10 เดือนแล้ว กินบ้างอ้วกบ้าง จนไปตามนัดที่หมอ follow 2 ครั้ง ซึ่งหมอที่เจอก็เป็นหมอทางเดินอาหารจากรพ.รัฐมาเป็นที่ปรึกษาให้กับรพ.แห่งนี้ ตั้งแต่ตอนแอดมิท
ระหว่างกลับมาอยู่บ้าน น้องลิด้ายังอาเจียนเรื่อยๆอยู่ ไม่ดูดีขึ้นเท่าที่ควร แต่หมอยังคงให้คำตอบว่าการที่เป็นโรคทางเดินอาหารต้องใช้เวลาและคิดว่ากระเพาะลำไส้ยังคงอักเสบอยู่ อันนี้เราก็ไม่ได้ว่าหมอนะ เพราะเค้าคงดูจากรูปการณ์ผลสแกนที่ออกมา แต่ตรงนี้เราอยากเตือนเพื่อนๆว่าถ้าเรามีข้อสงสัยในการวินิจฉัยของหมอหรือคิดว่าลูกเราดูไม่ดีขึ้นเลยกับการรักษาหมอคนนี้ เราสามารถหาทางเลือกความเห็นอื่น (Second opinion) ให้ลูกเราอีกได้
อ่านต่อ >> “แม่แชร์ประสบการณ์จากหวัดธรรมดา
สุดท้ายลูกกลายเป็นโรคมะเร็ง” คลิกน้า 2
แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกเป็นมะเร็ง (ต่อ)
พอได้คำตอบที่เรารู้สึกว่าลูกไม่น่าจะแค่ลำไส้อักเสบแล้วล่ะ เราก็เลยรีบค้นหาหมอทางเดินอาหารที่คิดว่าเก่งและนัดวันไปตรวจอย่างไวที่สุด จึงได้เจอชื่อคุณหมอรามาฯ ท่านนึง แต่คิวที่ได้นั้นไม่น่าจะทันการ เราจึงเซริชว่าท่านได้เข้าเป็น Part time ที่ปรึกษาให้รพ.เอกชนชื่อดังด้วย เราจึงไปรพ.เอกชนนั้นก่อนหาหมอทางเดินอาหารที่นั้นและแจ้งความต้องการว่าอยากให้ปรึกษากับหมอรามาท่านนี้ด้วย เราจึงแอดมิดให้ถึงมือหมออย่างไวที่สุดเพื่อตรวจหาสิ่งผิดปกติถึงอาการอาเจียนที่ไม่หายซักที คือช่วงนั้นน้องยังคงพะอืดพะอมทุกเช้า มีอ้วกพุ่งบ้างไม่พุ่งบ้าง แต่ไม่หายซักทีจนผิดสังเกต
หมอที่ใหม่เริ่มจับตรวจระบบทางเดินอาหารใหม่หมด ซึ่งรอบนี้ผลออกมาปกติดีทุกอย่างทั้งการอัลตร้าซาวด์ที่ท้อง (ที่เก่าไม่ได้ทำ) ก็ไม่ได้ดูมีก้อนเนื้ออะไร การเอกซเรย์ และจับกลืนแป้งเอกซเรย์สดๆ อีกครั้ง ซึ่งก็เห็นว่าแป้งผ่านซึมลงลำไส้ด้วยดี ไม่มีความผิดปกติของหูรูด และด้วยประสบการณ์หมอรามาท่านนี้ เค้าเลยให้ตรวจโรคเกี่ยวกับสมองเพิ่มด้วย เพราะอาจสัมพันธ์กับอาการอาเจียนเช่นกัน หลังอัลตร้าซาวด์ที่หัว (น้อง 10 เดือนกว่า กระหม่อมหน้ายังไม่ปิด จึงทำได้)
พบว่า… โพรงน้ำในสมองใหญ่กว่าปกติ น่าจะมีการตีบตันตรงทางเดินที่จะส่งน้ำจากโพรงสมองไปไขสันหลัง(บริเวณท้ายทอย) ซึ่งอัลตร้าซาวด์ไม่สามารถมองเห็นได้ จึงให้เข้าอุโมงค์ วางยานอนหลับทำ MRI เพื่อตรวจละเอียด ตอนเราเริ่มใจคอไม่ดี สงสัยว่าทำไมหมอไม่ส่องกล้องก่อน ทำไมต้อง MRI สมองเลย หมอบอกการส่องกล้องทำเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะดูเบื้องต้นไม่มีอะไรผิดสังเกต แต่ที่สมองตอนนี้เริ่มผิดสังเกตที่น้ำในโพรงสมอง ดังนั้นจึงควร MRI ให้แน่ชัดก่อน
หลัง MRI หลายชั่วโมง จนฟื้นจากการดมยา (เพราะเป็นเด็กเล็กต้องมีหมอดมยาประกบระหว่างการทำตลอดเวลา) พอเข้าห้องปุ๊บอาจารย์หมอทางด้านระบบสมองของรพ.ก็เดินเข้ามาคุยที่ห้องด้วย แน่นอนดูไม่ใช่เรื่องดีนัก หมออธิบายว่า…พบว่า มีเนื้องอกในสมอง อยู่ ซึ่งตำแหน่งติดกับแกนประสาทบริเวณท้ายทอย เลยทำให้น้ำในโพรงสมองไหลผ่านไม่ได้ดี เลยทำให้โพรงสมองใหญ่กว่าปกติและเกิดความดันในสมอง ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้อาเจียนบ่อยๆ มานานโดยที่เราไม่รู้ แถมขนาดที่วัดได้จาก MRI เฉลี่ยง่ายๆ ก็ประมานเกือบ 4 ซม.เป็นก้อนกลมๆ ในเด็กวัย10เดือนกว่า (ตอนที่เจอ) หมอฟันธงให้เตรียมใจเลยว่าไม่ใช่เนื้อดี เพราะดูโตเร็วมาก ตอนที่หมอแจ้งมาเสร็จ เรียกได้ว่าเหมือนโลกถล่ม น้ำตาเราไหลออกมาแบบไม่รู้จะบรรยายยังไง ไม่เคยคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นแบบนี้กับลูกเรา โรคมะเร็งในเด็ก ที่เคยคิดว่าไกลตัวกับใกล้นิดเดียว มันเหมือนฝันร้ายที่อยากตื่นให้หายไป
ยังไม่ทันร้องไห้เต็มที่เราก็ต้องตั้งสติใหม่ เพราะหมอแจ้งว่ารพ.เอกชนอันดับต้นๆ อย่างเค้า ไม่มี ICU เด็กเล็ก จึงไม่พร้อมที่จะทำการรักษาต่อต้องส่งไปรพ.รัฐที่มีโรงเรียนแพทย์เท่านั้น ทางรพ.จะช่วยติดต่อส่งตัวให้ ทั้งศิริราช รามา จุฬา แต่ก็ต้องรอเค้าติดต่อกลับมาว่าใครจะว่างรับเคสเราได้ก่อน ซึ่งระหว่างนี้ถ้าทางครอบครัวมีคนรู้จักช่วยให้หมอที่ไหนรับเคสได้ก็รีบติดต่ออย่างเร็วที่สุด เย็นวันนั้นครอบครัวเราโทรหาความช่วยเหลือสายแทบไหม้ แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้านัก วันถัดมาช่วงสายๆ มีรพ.นึงติดต่อกลับมาว่าสามารถส่งตัวน้องไปได้ ตกเย็นจัดการเอกสารเรียบร้อยไม่รอช้ารีบส่งด่วนขึ้นรถรพ.ไปทันที
เป็นคืนแรกตั้งแต่เค้าเกิดมา ที่เค้าไม่ได้นอนกับแม่ แต่ต้องไปนอน ICU ที่มีเวลาเยี่ยมตามกำหนด ตอนนั้นเค้ายังไม่มีอาการผิดปกติอะไร ยังเล่นได้กินได้ มีอาเจียรบ้างตามอาการ แต่ต้องนอน ICU 1 คืน เพื่อสังเกตอาการ เช้าวันถัดมาถึงได้ย้ายเข้าห้องพิเศษรวม(มี4เตียง)ให้ญาติผู้หญิงนอนเฝ้าไข้ได้ ตามสิทธิบัตรทองที่ส่งด่วนมา ต้องขอบคุณรพ.เอกชนที่ส่งตัวมามาก ที่ช่วยแจ้งดำเนินเรื่องสิทธิบัตรทองให้โดยที่เราไม่รู้อะไรเลย ช่วยประหยัดไปได้มาก
ยังมีความโชคดีที่ได้ อ.หมอสูงสุดของภาควิชาศัลยกรรมสมองมาดูแลเคส จากความร่วมมือของคนรู้จักแนะนำส่งต่อให้ ลิด้านอนรอที่รพ.ประมาน 1 อาทิตย์เพื่อให้หมอประชุมหลายๆทีมและเตรียมความพร้อมต่างๆ ก่อนผ่า พร้อมมาสรุปว่าแผนเป็นอย่างไร จะทำอะไรกับน้องบ้าง
หลังผ่าทีมหมอแจ้งว่า… ไม่สามารถนำก้อนเนื้อออกมาได้เยอะตามแผนที่วางไว้ เพราะเลือดออกมากและจะเป็นอันตรายถึงชีวิตถ้ายังฝืนผ่าต่อ เลยได้แต่พอสะกิดชิ้นเนื้อบางส่วนไปตรวจ พร้อมใส่สายระบายน้ำแบบชั่วคราวเพื่อดูอาการการระบายน้ำจากโพรงสมอง ช่วงนี้จะมีสายระบายน้ำจากหัวต่อออกมาที่ถุงข้างรอกแขวนไว้หัวเตียง ห้ามน้องนั่ง ต้องนอนตลอดพลิกไปมา ถัดจากนั้นประมานอาทิตย์กว่าจึงผ่าใหม่อีกครั้ง เป็นการฝังสายระบายไว้ที่หัวถาวร (เรียกสายshunt) และระบายน้ำลงสู่ช่องท้อง ซึ่งทุกครั้งที่ผ่าก็จะมีดมยาและไปนอนที่ ICU ดูอาการประมาน1คืน ถึงตรงนี้คือเข้าไปนอนมาแล้ว 3 ครั้ง
อ่านต่อ >> “แม่แชร์ประสบการณ์จากหวัดธรรมดา
สุดท้ายลูกกลายเป็นโรคมะเร็ง” คลิกน้า 3
แม่แชร์ประสบการณ์ ลูกเป็นมะเร็ง (ต่อ)
ประมาณอีก 1 อาทิตย์กว่าๆ ผลชิ้นเนื้อก็ออกมา ซึ่งก็เป็นไปตามคาดว่าเป็นเนื้อร้ายชัวร์ๆอยู่แล้ว แต่ที่แย่กว่าที่หมอคาดไว้คือดันเป็นตัวร้ายแรงชื่อ AT/RT เป็นชนิดที่เป็นกันไม่มากและอัตราการรอดน้อย และส่วนมากเกิดในเฉพาะเด็กเล็ก หมอบอกว่า AT/RT ไม่ค่อยตอบสนองกับยาคีโมและการรักษาเท่าไหร่ แต่สุดท้ายจะให้หายจากเนื้อร้ายนี้ได้คือต้องผ่าเนื้อร้ายก้อนนี้ออกให้หมด ซึ่งต่อจากนี้หมอก็ได้วางแผนคือให้ยาคีโมระยะยาว และหวังว่ามันจะตอบสนองให้ก้อนนั้นฟีบลงจนสามารถนำออกมาได้หมด และด้วยความที่ยังเป็นเด็กเล็ก ข้อจำกัดในการรักษาแบบอื่นๆจึงค่อนข้างจำกัดกว่าผู้ใหญ่ ส่วนสาเหตุนั้น หมอบอกได้แค่ว่ามันเกิดจากยีนที่ผิดปกติของตัวเค้าเอง
หลังจากเจอว่าเป็นอะไร หมอก็มาคุยเรื่องแผนการรักษา ซึ่งก็จะเริ่มให้คีโมสูตรที่เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ทั่วโลกในการรักษา AT/RT เริ่มจากสูตรที่มีside effectไม่มาก ให้อาทิตย์เว้นอาทิตย์ ครั้งละ 1-3 วัน ซึ่งระหว่างให้ก็ตามคาด มีช่วงผมร่วง ไข้ขึ้น 39-40 ภูมิต้านทานตก เลือดตก เกล็ดเลือดตก ต้องให้เพิ่ม สลับกันไป ตลอดระยะเวลา 3 เดือน (ต้องขอขอบคุณผู้บริจาคเลือดทุกท่าน อยากบอกคุณว่ามันได้ใช้ถึงผู้ป่วยจริงๆ มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองที่บริจาคมาก ณ จุดนี้)
พอครบ 4 เดือนนับตั้งแต่ผ่าตัดมาคืออยู่รพ.ยาว ไม่ได้กลับบ้านเลย คีโมให้ได้ประมาน 6 ครั้ง หมอก็ขอ MRI ใหม่อีก เพื่อประเมินก้อนเนื้อ รอผล หมอสรุปได้ว่าก้อนเนื้อแทบไม่ยุบลงคือดูแล้วลดลงเล็กน้อยแต่ดูมีจุดสงสัยการกระจายเชื้อลงที่น้ำไขสันหลังส่วนบริเวณท้ายทอยเพิ่มด้วย รอทีมหมอมะเร็งสรุปกับทีมศัลยกรรม ซึ่งผลสรุปก็คือไม่ผ่า ทีมหมอมะเร็งจึงประชุมทีมเผื่อเปลี่ยนยาสูตรใหม่ เพราะสูตรเก่าไม่ตอบสนอง
เริ่มให้ยาสูตรใหม่ครั้งแรก สูตรนี้ให้เดือนละครั้ง ครั้งละ 3 วัน (สูตรเก่าอาทิตย์เว้นอาทิตย์) พอได้สูตรใหม่หมอเลยแนะนำให้เอาน้องกลับไปดูแลต่อที่บ้านได้ ก็ยังกล้าๆกลัวๆเพราะไม่เคยได้เอากลับบ้านยาวถึง 5 เดือน และตอนนี้คือน้องต้องกินนมทางสายยางที่สอดเข้าทางจมูก(ng tube)เพื่อให้นมลงกระเพาะไปเลย น้องเริ่มใส่สายนี้ตั้งแต่ผ่าก้อนเนื้อรอบแรก เพราะประเมินแล้วว่ามีปัญหาด้านการดูดกลืน คาดว่าเป็นจากก้อนสมองที่กดทับเส้นประสาท(คือชอบดูดนมสำลักตั้งแต่ช่วงจะเจอก้อนเนื้อ) และน้องเริ่มมีปัญหาหน้าซีกซ้ายตอบสนองไม่เท่ากันกับหน้าซีกขวา เพิ่มเติมคือน้องเจาะสายสำหรับให้ยาตลอดการให้ยาคีโม (สายHick man) ที่หน้าอก เพื่อจะได้ไม่ต้องมาแทงสายใหม่บ่อยๆ ซึ่งต้องกลับมาทำความสะอาดแผลดูแลการแข็งตัวของเลือดที่สายกับรพ.ทุกอาทิตย์ แต่สุดท้ายเราก็ให้น้องกลับมาพักผ่อนที่บ้านเปลี่ยนบรรยากาศ น้องดูแฮปปี้มากกก
ถึงคิวไปนอนให้ยาสูตรใหม่รอบ2 ก็ปกติดี นอนอยู่ 4-5 วันก็ได้กลับมาพักที่บ้าน ประมาน 1 เดือน จึงไปให้ยารอบที่ 3 รอบนี้มาพร้อมข่าวร้าย เพราะหลังจากให้ไป 1 วัน น้องก็อ้วกซึมตลอดวัน จนต้องเข็นเข้า ICU ตอนตี 1
ลุูกเป็นมะเร็ง คุณแม่ก็ได้สรุปสาระสำคัญของโรคทั้งหมด ดังนี้
- มะเร็งสมอง ATRT ที่ลิด้าเป็นอยู่มักเกิดในเด็กต่ำกว่า 5 ขวบ และมันก็โคตรสตรอง สถิติการรักษาจากทั่วโลกอัตราการรอดต่ำมาก เพราะยาคีโมสูตรไหนๆก็ทำอะไรมันไม่ค่อยได้
- สาเหตุของโรคนั้นไม่ระบุแน่ชัด จากการซักประวัติแล้วหมอคาดว่าเกิดจากความผิดปกติของเซลล์เด็กเอง
- วิธีที่จะหายดีที่สุดคือผ่าเอาเนื้อร้ายออกไปเลย อันนี้พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะเด็กเล็กเสียเลือดได้ต่ำมาก และจุดผ่ามักอยู่จุดเสี่ยง คืออยู่ในสมองและระบบประสาท แต่การผ่าจะสำเร็จได้มากขึ้นถ้าขนาดมันฝ่อหรือเล็กลง
- ยาคีโม คือตัวช่วยให้ข้อ3สำเร็จได้ดีขึ้น ยาสูตรสำหรับเด็กเล็กต้องปรับตามวัย ให้น้อยไปก็ไม่ช่วย ให้มากไปก็ระบบในร่างกายจะรวนจากside effectไปซะก่อน
- ถ้าน้ำหนักถึงเกณฑ์ หมอแพลนจะพิจารณาการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือเรียกว่าสเต็มเซลล์ร่วมด้วย
- ถ้าอายุถึงเกณฑ์ประมาณ 3 ขวบ หมอแพลนพิจารณาการฉายรังสีเฉพาะจุด Protron Therapy ร่วมด้วย
สรุปสถานการณ์ปัจจุบัน ลิด้า มีดังนี้
- จากการประชุมสรุปของหมอและผู้ปกครอง น้องหยุดการให้ยาคีโมแล้ว
- สาเหตุที่หยุดยาเพราะล่าสุดมาให้ยาไปได้1วันแล้วside effectเริ่มมาแบบหนัก คืออ้วกซึมทั้งวัน ตรวจเลือดแล้วค่าโซเดียมลดต่ำจนขีดอันตราย เลยเป็นสาเหตุให้ไปนอน ICU 1 คืน
- หมอสั่ง CT scanแบบด่วน (ก่อนเข้าICU) ถึงภาพไม่ชัดเท่าMRI แต่แน่ชัดว่าเมื่อเทียบกับที่เคย CT scan เมื่อเดือน 7 ปี 61 สรุปคือก้อนเนื้อไม่ยุบลงหรืออาจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
- เนื้อสมองเริ่มบวม ไม่มีทางเดินของน้ำในโพรงสมองแล้ว และพื้นที่รอยหยักต่างๆเริ่มเต็มพื้นที่สมองเมื่อเทียบกับของเดิม อันนี่ก็คือเริ่มอันตรายเพราะสามารถเบียดระบบประสาทส่วนไหนก็ได้ตลอดเวลา และจะทำให้ปวดหัวเรื่อยๆ
- สรุปว่าการให้คีโม นอกจากจะไม่ช่วยหยุดยั้งการโตของเนื้อร้ายยังอาจเกิดอันตรายจากผลข้างเคียงของยาที่รุนแรง (เช่นโซเดียมลดแบบนี้) เมื่อเทียบกับไม่ให้เลยจะลดความเสี่ยงและความทรมานลง
- อายุน้ำหนักและขนาดของเนื้องอก ณ ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยต่อการปลูกถ่ายไขกระดูกหรือฉายแสง
- หมอศัลยประสาทประเมินแล้วความเสี่ยงตอนผ่าสูงมาก เพราะก้อนเนื้อโตเท่าๆเดิม หมอไม่สามารถผ่าให้ได้
- ปัจจุบันน้องสบายดีมีพะอืดพะอม แหวะนมบ้าง มีงอแงหรือดูปวดหัวบ้างเป็นช่วงๆ ยังไม่มีsignแปลกๆอะไร
- หมอให้ตัดสินใจได้เลยว่าอยากอยู่บ้านหรืออยากนอนโรงพยาบาลต่อ หรือจะพาไปเที่ยวไหนก็ได้ แต่หมอแนะว่าควรดูที่ความสุขความสบายใจน้องเป็นหลัก
- ถ้ามีsignแปลกๆเช่น ดูซึม อ้วก เหนื่อย ชัก งอแงผิดปกติ ให้มาโรงพยาบาลได้เลย
- เราอาจมีการหา second opinion คือไปปรึกษาหมออื่นโรงพยาบาลอื่นถึงแผนการรักษาได้เลย ว่ามีความเห็นยังไงเรื่องแผนการรักษา มีช๊อยอื่นๆอีกไม๊ หรืออาจปรึกษาหมอแผนทางเลือกเพิ่มเติม ว่าทำอะไรได้บ้าง คือจะลองทุกทางแต่ไม่ฝืนหรือทรมานร่างกายน้อง
- พูดสั้นๆก็เหมือนผู้ป่วยระยะสุดท้ายอะเนอะ เพราะไม่ทำอะไรต่อแล้ว หมอพูดมาแบบโดนใจว่า หมอรู้ว่าครอบครัวดูแลน้องมาอย่างดีที่สุดแล้ว และช่วงเวลาที่เหลือน้องคงอยากอยู่ใกล้ครอบครัวมากกว่าที่จะอยากอยู่ใกล้กับเครื่องมือ
จบแล้ว สำหรับลิด้า ณ ปัจจุบันก็อยู่บ้านและไปตามนัดหมอปกติ เช็คดูค่าเลือดค่าอะไรตามรอบ ทำทุกวันให้ความมีความสุขคือเป้าหมายหลักของตอนนี้
ต้องขอขอบคุณทีมแพทย์ทุกทีม (ใช้แพทย์เปลืองมาก) พยาบาลที่วอร์ดทุกท่าน ที่ให้การรักษาดูแลเป็นอย่างดี บุคลากรทางการแพทย์ที่ดีๆเป็นอะไรที่น่าชื่นชมมาก ดึกดื่นเกิดอะไรก็ยังคอยมาช่วยแก้ปัญหาเสมอ
สุดท้ายเพิ่มเติม เราใช้เวลาหลายวันในการเรียบเรียงและเขียนบทความใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นประสบการณ์ให้ทุกคนคอยดูแลอาการของลูกน้อยให้ดี ไม่มีใครดูอาการผิดสังเกตของลูกได้ดีเท่ากับพ่อแม่ที่เลี้ยงเค้าอย่างใส่ใจ ให้ความรักเค้าให้มากๆ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้างในอนาคต
ถ้าคิดว่าบทความเรามีประโยชน์ เราขอร่วมอนุโมทนาบุญ บริจาคกันได้ที่
กองทุนโรคมะเร็งเด็ก รพ.ศิริราช
ธ.ไทยพาณิชย์ 016-2-512-529
(ชื่อบช.ทุนธงมหิดล)
สามารถนำใบโอนเงินส่งที่ไลน์หรือfaxได้ และระบุกองทุนที่จะบริจาค
ติดต่อใบเสร็จline id @sirirajfoundation
หรือโทร ศิริราชมูลนิธิ 02-4197658
จากประสบการณ์ที่ ลูกเป็นมะเร็ง อยู่ตรงนี้มานาน เราเห็นเด็กป่วยเป็นโรคมะเร็งมากมาย ทั้งมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งกระดูก ทั้งเด็กเล็กที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นอะไร ทั้งเด็กโตที่รู้เรื่องแล้ว และต้องเยียวยาสภาพจิตใจไปพร้อมๆกัน เด็กเหล่านี้ ไม่มีใครรู้เลยว่าเค้าจะมีชีวิตไปได้อีกแค่ไหน และไหนจะครอบครัวที่ต้องคอยดูแลกันอย่างเหน็ดเหนื่อย รวมถึงค่ารักษาพยาบาลในครอบครัวที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ เราคิดว่ารพ.จะจัดสรร ช่วยเหลือ นำเงินกองทุนเหล่านี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์กับเด็กโรคมะเร็งทั้งหลาย ขอบคุณค่ะ
อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก :
- แม่ท้องต้องเลี่ยง! ถ้าไม่อยากเสี่ยงให้ลูกเป็น มะเร็งในเด็ก
- สัญญาณเตือนโรคมะเร็งในเด็กที่พ่อแม่ควรรู้
- ผลตรวจ น้องสกาย ออกแล้วพบเป็น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- 3 อันดับ โรคมะเร็งในเด็ก ที่พบมากที่สุดในไทย
- โรคมะเร็งในเด็ก ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม
ขอบคุณข้อมูลจาก สมาชิกเว็บไซต์พันทิป Peater Crazy Photo : pantip.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่