3 เทคนิคอย่างง่าย ตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตัวเอง
พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และเขียนหนังสือ 100 เรื่องน่ารู้มะเร็งในผู้หญิง[2] ได้แนะนำให้ผู้หญิงทุกคนเริ่มตรวจหาความผิดปกติของเต้านมด้วยตัวเอง เมื่ออายุได้ 20 ปีขึ้นไป โดยให้ตรวจในช่วงที่ประจำเดือนหมดประมาณ 3-5 วัน ซึ่งขั้นตอนการตรวจเต้านมด้วยมือตัวเอง ดังนี้…
- ดู : ถอดเสื้อและชั้นในออก ยืนหน้ากระจกดูเต้านมว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เช่น บิดเบี้ยว มีก้อนนูนหรือไม่
- ยกแขนสองข้างเหนือศีรษะ แล้วดูว่าเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่
- ใช้มือเท้าสะเอว เกร็งหน้าอก เพื่อให้ผนังทรวงอกกระชับขึ้น ให้เอียงตัวไปมาเพื่อให้เห็นเต้านมด้านข้างให้ทั่ว แล้วดูว่าเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติหรือไม่
- โน้มตัว ก้มศีรษะไปด้านหน้า ประสานมือกดท้ายทอย เกร็งกล้ามเนื้อหน้าอก เพื่อดูว่าเต้านมมีอะไรผิดปกติหรือไม่
- บีบ : ให้บีบหัวนมดูว่ามีน้ำออกมาจากหัวนมหรือไม่
- คลำ : ยกแขนขวาขึ้น วางมือบริเวณท้ายทอย ใช้กึ่งกลางตอนบนของนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนางของมือซ้ายกดคลึงเต้า นมขวาให้ทั่วๆ (การกดคลึงให้ให้กดขึ้น หรือวนคล้ายเข็มนาฬิกาก็ได้) ให้คลำสลับกันทั้งสองเต้า
- การคลำสามารนอนคลำได้ โดยการนอนราบ หากตรวจเต้านมขวา ให้สอดหมอน หรือผ้าห่มไว้ใต้ไหล่ขวา มือ ขวาวางเหนือศีรษะ หรือวางไว้ใต้ท้ายทอย จะทำให้ตรวจได้ง่ายมากขึ้น จากนั้นใช้มือซ้ายกดคลึงเหมือนท่ายืน แล้วสลับข้างตรวจ
- คลำเต้านมแล้ว ก็ให้กดดูบริเวณรักแร้ด้วยว่ามีก้อนอะไรขึ้นมาผิดปกติหรือไม่[2]
สรุปได้ว่าในผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานมีลูก ควรหมั่นตรวจเต้านมของตัวเองทุกๆ เดือน และควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ส่วนในคุณแม่ที่มีลูกนอกนอกจากการตรวจสุขภาพแล้ว ควรให้ลูกได้กินนมจากเต้าตัวเองตั้งแต่แรกคลอด และเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ให้ได้นานมากที่สุด เพราะทั้งหมดนี้สามารถช่วยลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านมลงได้ค่ะ …ด้วยความใส่ใจและห่วงใย
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อบทความเรื่องอื่นที่น่าสนใจคลิก
เต้านมส่วนเกินใต้รักแร้อันตรายหรือไม่?
มะเร็งเต้านม มหันตภัยร้ายใต้ทรวงอก ของผู้หญิง
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
1พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน. ให้นมแม่กับลูกได้ถึง 3 ปี ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมสูง. มูลนิธิศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย
2พญ.ชัญวลี ศรีสุโข สูติ-นรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ. มะเร็งเต้านม. หนังสือ 100 เรื่องน่ารู้มะเร็งในผู้หญิง หน้า 5, 19-20.