เรื่องราวอุทาหรณ์ เมื่อคุณแม่ออกมาระบายเรื่องเพื่อนสามีที่นำลูกสาววัย 6 เดือนมาฝากเลี้ยงไว้ที่บ้าน คุณแม่มีลูกเล็กวัย 4 เดือน สุขภาพร่างกายแข็งแรงดี แต่กลับมีอาการอาเจียน ลูกน้อยของคุณแม่เริ่มป่วยหนักเพราะ ติดโรค จากเด็กคนอื่น จึงอยากฝากเตือนให้คุณพ่อ คุณแม่ระวัง
ลูก ติดโรค จากเด็กคนอื่น
ขอระบายค่ะ ลูกชายป่วยจนต้องเข้า รพ. เพราะเพื่อนสามี เอาลูกที่รู้อยู่ว่าป่วยเป็นโรคติดต่อมาฝากเลี้ยง
ดิฉันขอเข้ามาระบายค่ะ เรื่องเพื่อนสามี เป็นเพื่อนที่ทำงาน และก็เป็นเพื่อนบ้านด้วย เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เค้าให้สามีดิฉันมาขอร้องดิฉัน บอกว่าขอฝากลูกสาว วัยหกเดือนมาอยู่บ้านดิฉันตอนกลางวัน เป็นเวลาสามวัน ซึ่งดิฉันก็ มีลูกเล็ก ๆ วัยสี่เดือนอยู่ที่บ้านเหมือนกัน และปกติลูกดิฉันแข็งแรงดี เกิดมาสี่เดือน ไม่เคยป่วยต้องเข้า รพ. เลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทีนี้ เพื่อนสามีเค้าบอกว่า เค้ามีปัญหา ไม่สามารถส่งลูกสาวเค้า เข้าสถานรับเลี้ยงเด็กตอบกลางวันได้ โดยเค้าเสนอว่าจะให้ดิฉันวันละ ยี่สิบดอลล่า ขอให้เลี้ยงแค่สามวันเท่านั้น หลังจากนั้นเค้าจะเอาลูกสาวเค้าเข้าสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งดิฉันก็ตอบไปว่า ช่วยฟรี ๆ ไม่เอาเงิน เพราะเราเป็นเพื่อนกัน
วันแรกที่มาถึง ลูกสาวเค้าก็อาเจียนแต่เช้าเลย ดิฉันก็ไม่ได้เอะใจ ก็คิดว่าคงให้กินนมมากเกินไป พอตอนเย็นพ่อเด็กมารับ ดิฉันก็บอกไปว่า ลูกเค้าอาเจียนหนึ่งครั้งนะตอนเช้า พ่อเด็กทำเป็นหูทวนลม รีบขอบคุณแล้วอุ้มลูกกลับบ้านไป
สักพักนึง สามีดิฉันกลับมาบ้าน ดิฉันก็ให้สามีเอาขวดนมที่เหลือ ที่พ่อเด็กลืมเอากลับบ้าน ให้สามีถือไปคืนที่บ้านเพื่อน สามีดิฉันก็พูดอีก บอกว่า ลูกนายอ้วกตอนเช้านะ เพื่อนเค้าก็ทำเฉย ๆ ไม่พูดอะไรเลยสักคำ ไม่ถามด้วยว่าลูกเค้าอ้วกเยอะรึเปล่า กินได้รึเปล่า
ดิฉันเจอแม่เด็กตอนเย็น ดิฉันก็พูดอีก บอกว่า ลูกเค้าอาเจียนตอนเช้า แม่เด็กก็รีบทำเป็นเปลี่ยนเรื่องพูด แล้วรีบขอตัวกลับบ้าน
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “ลูกป่วยหนัก เพราะติดโรคจากเด็กที่ถูกนำมาฝาก” คลิกหน้า 2
วันแรกผ่านไปด้วยดี ลูกดิฉันยังสบายดีอยู่ แต่วันที่สอง ตอนเย็น ลูกดิฉันเริ่มป่วย อาเจียน และตัวร้อนมาก กลางดึกก็อ้วกพุ่งเลอะเต็มเลย ดิฉันและสามีก็ยังไม่คิดว่าติดมาจากลูกเพื่อน เราไม่ได้โทษใคร คิดว่าคงป่วยเอง
วันที่สาม เด็กคนนั้นก็อาเจียนอีก ลูกดิฉันก็อาเจียน และท้องเสียอย่างรุนแรง จนเราทนไม่ไหว ต้องพาลูกไป รพ. หมอถามคำถามแรกเลยว่า เอาลูกไปไว้ สถานรับเลี้ยงเด็กรึเปล่า ถึงได้ติดเชื้อโรคแบบนี้
หมอบอกว่า ลูกดิฉันติดเชื้อไวรัสมาจากเด็กอื่นแน่ๆ ตอนนั้นสามีดิฉันและดิฉัน ก็คิดถึงเด็กนั่นคนแรกเลย ว่าคงมีเชื้อโรคแล้วมาติดลูกเรา
แต่สามี ดิฉันก็พยายามพูดกับดิฉัน ว่าอย่าไปโกรธเพื่อนเค้าเลยนะ เพราะพ่อแม่เด็กก็คงไม่รู้ว่าลูกป่วย ถ้ารู้ใครจะเอามาให้คนอื่นเลี้ยง แถมบ้านเราก็มีลูกอ่อน ๆ อยู่ด้วย เค้าคงไม่ใจร้ายขนาดนั้น
ดิฉันก็เออออ ตามสามี ไม่โกรธก็ไม่โกรธ คิดว่าเค้าคงไม่รู้ว่าลูกตัวเองเป็นพาหะนำโรค
วันนั้นเอง สามีดิฉันก็ป่วย เป็นไข้หนาวสั่นเลย อาเจียนอย่างหนัก ต้องหยุดงาน สามีดิฉันก็เริ่มเอะใจ เลยไปหาเพื่อนเค้าที่บ้าน ตั้งแต่เค้าเอาลูกเค้ามาฝากเลี้ยง ครบสามวัน เค้าไม่เคยมาทักทายเราเลย ทั้งที่บ้านอยู่ใกล้กันมาก
สามีดิฉันก็ไปทักทายเค้าก่อน แล้วถามไถ่ถึงลูกสาวเค้า สามีดิฉันถามว่า ลูกนายป่วยบ้างรึเปล่า ฉันกับลูกป่วย เท่านั้นแล่ะ เพื่อนเค้ารีบถามว่า นายอาเจียนตลอดเวลาใช่รึเปล่าล่ะ
สามีดิฉันก็ถามว่า รู้ได้ไง เค้าบอกว่า เค้ากับภรรยาก็เป็น เค้าพูดหน้าตาเฉยว่า ลูกเค้าเคยไปอยู่สถานรับเลี้ยงเด็ก แล้วติดโรคมา หลังจากนั้น เค้ากับภรรยาเค้าก็ติดโรคนี้มาจากลูก ตัวเค้าเองป่วยอาเจียนจนเป็นเลือด ต้องเข้า รพ. เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง
แล้วเค้ายังบอกอีกว่า ลูกเค้าอยู่ใกล้ใคร คนนั้นก็ต้องติดโรคนี้ อาเจียน และท้องเสีย และเป็นไข้ เค้าพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เด็กอยู่รวมกัน ก็ต้องติดโรคกัน แถมยังทำเป็นหวังดี ฝากมาบอกด้วยว่า ลูกดิฉันกับสามีเป็นกันแล้ว เดี๋ยวดิฉันก็ต้องป่วยเป็นรายต่อไป เพราะลูกเค้าเป็นพาหะนำโรค
เมื่อ คืนนี้ดิฉันกับสามีทะเลาะกันอย่างหนัก ก็เพราะเรื่องเพื่อนเค้าคนนี้ ลูกดิฉันอาเจียนหนักมาก และถ่ายตลอดเวลา ดิฉันเห็นลูกเป็นแบบนี้ ก็ร้องไห้ สามีก็ยังเข้าข้างเพื่อน ดิฉันก็เลยด่ากระเจิงเลย
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “ลูกป่วยหนัก เพราะติดโรคจากเด็กที่ถูกนำมาฝาก” คลิกหน้า 3
ตอนนี้ลูกดิฉัน ยังตัวร้อนอยู่ ถ่ายตลอด กินได้ทีละนิดเดียว ดิฉันยิ่งคิดยิ่งแค้นใจ เพื่อนสามีบ้านอยู่ใกล้กันแค่นี้ เค้าไม่เคยมาเยี่ยมลูกดิฉันเลย ตัวภรรยาเค้าก็หายเงียบไปเลย ไม่โผล่มาดูลูกดิฉันเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ต่อไปคงไม่รับเลี้ยงลูกให้ใครอีกแล้ว ช่วยแล้วไม่ได้ดี แถมยังเดือดร้อนอีก
ใคร เคยมีลูกป่วยเป็นโรคนี้บ้างคะ กี่วันถึงหาย ตอนนี้ดิฉันยังสบายดีไม่ป่วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ทำไมดิฉันไม่ป่วยอยู่คนเดียวก็ไม่รู้ แต่ลูกยังอาการไม่ดีขึ้นเลย สามีก็ยังป่วยอยู่นิด ๆ แต่ต้องไปทำงานแล้ว กลุ้มใจจังเลยค่ะ
ไวรัสโรตา ทำให้ลูกน้อยอุจจาระร่วง
จากอาการที่คุณแม่กล่าวมานั้นน่าจะเป็นการติดเชื้อไวรัสโรตา ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กมากชนิดหนึ่ง มักก่อให้เกิดโรคในเด็กเล็กๆ ที่มีอายุต่ำกว่า 2 ขวบ มีลักษณะพิเศษคือมักเกิดในฤดูหนาว เด็กอาจมีไข้ต่ำๆ แล้วตามด้วยอุจจาระร่วง อาเจียน บางคนอาจไม่มีอาการหวัดก็ได้ อุจจาระจะมีลักษณะเป็นน้ำ บางคนมีอาการน้อยและหายได้เอง แต่บางคนอาจมีอาการมาก จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
เชื้อโรคจะทำลายเยื่อบุลำไส้เล็ก ทำให้ลำไส้เล็กลดการหลั่งน้ำย่อย ที่ใช้ในการย่อยน้ำตาลแลคโตสในนม นมที่ไม่ถูกย่อยจะถูกแบคทีเรียในลำไส้สลายกลายเป็นกรด ทำให้อุจจาระร่วงมากขึ้น เด็กจะถ่ายเป็นน้ำพุ่งและเป็นฟอง บริเวณก้นจะแดงเพราะระคายเคืองจากกรด เมื่อคุณหมอสงสัยว่าย่อยนมไม่ได้ จะต้องงดนมหรือเปลี่ยนเป็นนมสูตรพิเศษที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส เช่น นมถั่วเหลือง ดื่มประมาณ 2 สัปดาห์ จึงกลับมาเป็นนมปกติ
โรคนี้สามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้ทางอุจจาระ ดังนั้น เด็กที่เป็นโรคนี้ ไม่ควรคลุกคลีกับเด็กคนอื่น ผู้ดูแลเด็กที่เป็นโรค ก็ควรหมั่นล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาด เพราะผู้ใหญ่อาจติดเชื้อโรคได้ด้วยเช่นกัน สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดรับประทาน ตั้งแต่อายุ 6 สัปดาห์แรก แต่ราคายังค่อนข้างแพงมาก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “ลูกป่วยหนัก เพราะติดโรคจากเด็กที่ถูกนำมาฝาก” คลิกหน้า 4
ฝากเลี้ยงเนอสเซอรี่อย่างไรให้ปลอดภัย?
สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ที่มีความจำเป็นที่จะต้องฝากลูกน้อยเอาไว้ให้คนอื่นเลี้ยงในเวลากลางวัน แม่น้องเล็กมีเทคนิคการเลือกเนอสเซอรี่ และวิธีการเตรียมตัวเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยมาฝากค่ะ
1.ค่าใช้จ่ายต้องเหมาะสมกับฐานะ มีสถานที่อยู่ใกล้บ้าน หรือที่ทำงาน สามารถทำตามในสิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ร้องขอได้ เช่น ไม่ให้ลูกน้อยรับประทานขนมหวานที่ไม่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้เป็นอาหารว่าง เป็นต้น
2.คุณภาพ และความปลอดภัยของสถานที่ มีประตูกันเด็กไม่ให้ออกไปเอง มีทางหนีไฟ ระบบตรวจจับควัน มีการติดตั้งของเล่นที่มั่นคง มีที่จอดรถห่างจากพื้นที่ของเด็ก ไม่แออัด อากาศถ่ายเท มีเครื่องฟอกอากาศ เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของโรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ เมื่อมีเด็กป่วยควรแยกห้องเพื่อป้องกันโรคติดต่อ
3.มีบุคลากรที่เพียงพอต่อจำนวนของเด็กๆ จะได้ดูแลอย่างทั่วถึง และต้องเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคติดต่อ ไม่มีประวัติอาชญากรรม รักเด็ก ใจเย็น มีความรู้ความชำนาญในการดูแลเด็ก
4.มีระบบการดูแลสุขภาพที่ดี มีความรู่ในการสังเกตอาการเจ็บป่วยของเด็กๆ เช่น เมื่อมีไข้ อาเจียน ท้องเสีย ซึม รับประทานอาหารน้อยลง ไม่ค่อยเล่น มีตุ่มผื่นตามตัว เพื่อจะได้รีบแยกเด็กป้องกันโรคติดต่อ
5.มีห้องอาหารที่สุขอนามัย เน้นการล้างมือบ่อยๆ มีห้องน้ำที่สะอาด และวิธีการกำจัดขยะที่ถูกต้อง แยกของใช้ของเด็กๆ ไม่ให้ปะปนกัน และทำความสะอาดของใช้ ของเล่นด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อเป็นประจำ
6.มีเบอร์โทรศัพท์ฉุกเฉินของโรงพยาบาล สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง ที่สามารถมองเห็นได้ง่าย
ถ้าเป็นไปได้ คุณพ่อ คุณแม่ควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้ลูกน้อย เพื่อป้องกันโรคติดต่ออีกทางหนึ่ง เช่น โรตาไวรัส ไข้หวัดใหญ่ โรคสุกใส โรคตับอักเสบเอ โรคทัยฟอยด์ และโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากฮิบและไอพีดี เป็นต้น เพียงเท่านี้ คุณพ่อ คุณแม่ก็สามารถช่วยป้องกันลูกน้อยจากโรคติดต่อต่างๆ ได้ค่ะ
เครดิต: pantip แม่ลูกหนึ่งค่ะ, โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล, พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง คลิก!!
เตือนพ่อแม่ระวัง 4 โรคติดต่อ 2 ภัยสุขภาพ ปี 60
วัณโรคกระดูก โรคติดต่อพ่อแม่ไม่ควรมองข้าม
11 โรคติดต่อทางพันธุกรรม จากพ่อแม่สู่ลูกและวิธีป้องกัน
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่