AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

อุบัติเหตุฉุกเฉิน 72 ชม.รักษาฟรี! ทุกโรงพยาบาล

รักษาฟรี ผู้ป่วยฉุกเฉิน …ตามนโยบายรัฐบาล “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิ์ทุกที่” กำหนดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ได้ทุกแห่ง เพื่อให้ได้รับการดูแลรักษาอย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องสำรองจ่ายเงินในระยะ 72 ชั่วโมงแรก

รักษาฟรี ผู้ป่วยฉุกเฉิน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560

โดยกรม สบส.ได้ทำหนังสือแจ้งเวียนไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป หน่วยงานภาครัฐ /รัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง และโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศซึ่งขณะนี้ขึ้นทะเบียนกับกรม สบส.จำนวน 347 แห่ง เพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ประชาชนทุกคนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ จะได้รับการดูแลช่วยชีวิตอย่างทันท่วงที และเท่าเทียมกัน มีมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ซึ่งมีทั้งการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติจากอุบัติเหตุและจากโรคประจำตัวกำเริบ มีโอกาสรอดชีวิตและได้รับการดูแลจนปลอดภัยใน 72 ชั่วโมงแรก ซึ่งตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานพยาบาล พ.ศ.2541 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2559 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ขณะนี้กฎหมายลูกทั้ง 3 ฉบับ ประกอบด้วย

1.ประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วย การกำหนดผู้ป่วยฉุกเฉิน

2.ประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยฉุกเฉินและการระดมทรัพยากรและการมีส่วนร่วมการช่วยเหลือเยียวยาและจัดให้มีการส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลอื่น

3.หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2560 เป็นต้นไป

โดยเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว (1 เมษายน 2560) ระบุใจความว่า


อ่านต่อ >> “ข้อรู้ก่อนใช้สิทธิ ป่วยวิกฤตรักษาฟรี 72 ชม.” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

ทั้งนี้เพราะเนื่องจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้นเท่าตัว จึงได้มีประสานไปยังศูนย์รับแจ้งเหตุ และสั่งการตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ สายด่วน 1669 ให้พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมง โดย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) ได้กำหนดหลักเกณฑ์การประเมินเพื่อคัดแยกระดับความฉุกเฉินและมาตรฐานการปฏิบัติการฉุกเฉินไว้ในประกาศคณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินแล้ว โดยผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต คือ บุคคลซึ่งได้รับบาดเจ็บหรือมีอาการป่วยกะทันหัน  ซึ่งมีภาวะคุกคามต่อชีวิต และหากไม่ได้รับปฏิบัติการแพทย์ทันทีเพื่อแก้ไขระบบการหายใจ ระบบไหลเวียนเลือด หรือระบบประสาทแล้ว ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิตได้สูง หรือทำให้การบาดเจ็บหรืออาการป่วยของผู้ป่วยฉุกเฉินนั้นรุนแรงขึ้นหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้อย่างฉับไว และเมื่อมาถึงสถานพยาบาลแล้วผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติจะต้องได้รับการตรวจรักษาภายใน 0-4 นาที

ซึ่งผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและให้การตรวจรักษาทันที ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะใช้สัญลักษณ์ “สีแดง” ดังตัวอย่าง เช่น  ภาวะหัวใจหยุดเต้น ภาวะหยุดหายใจ ภาวะช็อกจากการเสียเลือดรุนแรง ชักตลอดเวลาหรือชักจนตัวเขียว รวมถึง อาการซึม หมดสติ ไม่รู้สึกตัว อาการเจ็บหน้าอกรุนแรงจากหลอดเลือดหัวใจตีบตันที่มีความจำเป็นต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือด อาการทางสมองจากหลอดเลือดสมองตีบตันทันทีมีความจำเป็นต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือด เลือดออกมากอย่างรวดเร็วและตลอดเวลา เป็นต้น

ซึ่งทางด้านศูนย์ประสานคุ้มครองสิทธิฯ ยังได้จัดทำข้อมูลเผยแพร่ในชื่อชุด 9 ข้อควรรู้ก่อนใช้สิทธิ์ UCEP ให้ประชาชนไว้ใช้ศึกษาก่อนเพื่อทำความเข้าใจก่อนใช้สิทธิ UCEP ซึ่งชุดข้อมูลมีรายละเอียดดังนี้

 (ขอบคุณข้อมุลและภาพจาก : www.manager.co.th)

อ่านต่อ >> “หลักการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสีแดง 25 กลุ่มอาการ” คลิกหน้า 3

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

หลักการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตสีแดง 25 กลุ่มอาการ มีดังต่อไปนี้

1. ปวดท้องบริเวณหลัง เชิงกราน และขาหนีบ 13. พิษ รับยาเกินขนาด
2. แพ้ยา แพ้อาหาร แพ้สัตว์ต่อย แอนาฟิแล็กซิส ปฏิกิริยาภูมิแพ้ 14. มีครรภ์ คลอด นรีเวช
3. สัตว์กัด 15. ชัก มีสัญญาณบอกเหตุการณ์ชัก
4. เลือดออกโดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากการบาดเจ็บ 16. ป่วย อ่อนเพลีย อัมพาตเรื้อรัง ไม่ทราบสาเหตุจำเพาะ
5. หายใจลำบาก หายใจติดขัด 17. อัมพาต กล้ามเนื้ออ่อนแรง สูญเสียความรู้สึก ยืนหรือเดินไม่ได้เฉียบพลัน
6. หัวใจหยุดเต้น 18. ไม่รู้สติ ไม่ตอบสนอง หมดสติชั่ววูบ
7. เจ็บแน่นทรวงอก หัวใจ มีปัญหาทางด้านหัวใจ 19. เด็ก กุมารเวช
8. สำลัก อุดกั้นทางเดินหายใจ 20. ถูกทำร้าย
9. เบาหวาน 21. ไหม้ ลวกเหตุความร้อน สารเคมี ไฟฟ้าช็อต
10. ภาวะฉุกเฉินเหตุสิ่งแวดล้อม 22. ตกน้ำ จมน้ำ บาดเจ็บทางน้ำ
11. ปวดศีรษะ ภาวะผิดปกทางตา หู คอ จมูก 23. พลัดตกหกล้ม อุบัติเหตุ เจ็บปวด
12. คลุ้มคลั่ง ภาวะทางจิตประสาท อารมณ์ 24. อุบัติเหตุยานยนต์ และ 25. อื่นๆ

 

หากมีข้อสงสัย สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จะเป็นหน่วยงานกลางคอยให้คำปรึกษา และให้ความเห็นภายใน 15 นาที ทั้งนี้ในเรื่องของคำนิยาม “เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต” หน้าห้องฉุกเฉินของรพ.ต่างๆ เพื่อให้ญาติผู้ป่วย และประชาชนทั่วไปได้รับทราบ ซึ่งจะเป็นเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากข้อเท็จจริงแพทย์ฉุกเฉินทราบเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มอาการฉุกเฉินวิกฤต หลักๆ มี 6 กลุ่ม คือ

  1. หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่ตอบสนองต่อการเรียกหรือกระตุ้น ไม่มีชีพจร จำเป็นต้องได้รับการกู้ชีพทันที
  2. การรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน
  3. ระบบหายใจมีอาการดังนี้  ไม่สามารถหายใจได้ปกติ หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้นๆ หรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สำลักอุดทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ำ
  4. ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤติอย่างน้อย 2 ข้อ คือ ตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกยืนขึ้น
  5. อวัยวะฉีกขาด เสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ
  6. อาการอื่นๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรงแขนขาอ่อนแรงทันทีทันใด  หรือกำลังชักขณะแรกรับที่จุดคัดแยก

หากสังเกตว่าลูกน้อยหรือคนในบ้านมีอาการดังกล่าว ควรรีบพาไปโรงพยาบาลเเพื่อทำการรักษาโดยด่วนนะคะ เพื่อความปลอดภัยของชีวิต

อ่านต่อบทความอื่นน่าสนใจ คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจากและภาพจาก
ศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการแพทย์ฉุกเฉินไทย
 , www.nationtv.tv , www.tnews.co.th