แม่ท้องมือใหม่ ย่อมกังวลกับท้องแรก จะดูแลสุขภาพอย่างไร อยากสวยอยากเฟิร์มในช่วงตั้งครรภ์แต่ไม่รู้ว่าทำอะไรได้บ้าง และอีกสารพัดเรื่องกังวลสำหรับแม่ท้องมือใหม่ พญ. เมสิตา สุขสมานวงศ์ สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์ จึงมีคำตอบคลายข้อสงสัย พร้อมแนะวิธีดูแลตัวเองและลูกน้อยให้สมบูรณ์แข็งแรงตลอดช่วงตั้งครรภ์ค่ะ
เตรียมตัวก่อน ยิ่งเร็วยิ่งดี
เรื่องสุขภาพโดยรวมควรเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เทียบกันแล้วคนที่เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ ย่อมดีกว่าคนที่ตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัว วิธีเตรียมตัวก็ง่ายๆ เพียงดูแลให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายบ้าง ทานอาหารที่มีประโยชน์ มีพิเศษคือควรกินโฟเลตบำรุงตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อป้องกันความพิการบางอย่างให้ลูกน้อย ควรตรวจสุขภาพว่าเรามีโรคประจำตัวอะไรบ้าง และดูว่าเรามีภูมิคุ้มกันหรือได้รับวัคซีนต่างๆ เพียงพอหรือยัง ถ้าตรวจทุกอย่างเรียบร้อยและไม่มีปัญหาอะไรก็สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างสบายใจ ส่วนคนที่มีโรคประจำตัวก็ไม่ได้หมายความว่าตั้งครรภ์ไม่ได้นะคะ เพียงแต่ต้องควบคุมโรคให้ดีก่อน ก็จะทำให้การตั้งครรภ์มีความปลอดภัยมากขึ้นค่ะ
อาหารที่แม่ท้องต้องกิน
จริงๆ แล้วแม่ท้องต้องการปริมาณอาหารเพิ่มขึ้นจากเดิมเพียง 300 กิโลแคลอรีต่อวันเท่านั้น ไม่ได้ต้องการเยอะมากอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ แม่มักจะคิดว่ากินอะไรให้ลูกโต กินอะไรให้ลูกแข็งแรง กินอะไรให้ลูกฉลาด จริงๆ แล้วทางการแพทย์ไม่ได้บอกว่าต้องกินอะไรกันแน่ เพียงแค่กินอาหารที่มีประโยชน์ ครบทั้ง 5 หมู่ และกินให้หลากหลายก็เพียงพอแล้วค่ะ เช่น วันนี้กินปลา วันพรุ่งนี้กินอกไก่ วันต่อไปกินหมู ลูกก็จะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและหลากหลายตามไปด้วย
น้ำมะพร้าว : กินแล้วแท้ง VS กินแล้วลูกผิวสวย
คุณแม่ส่วนหนึ่งเชื่อว่าน้ำมะพร้าวทำให้แท้งง่าย อีกส่วนหนึ่งเชื่อว่าน้ำมะพร้าวทำให้ลูกผิวสวยและไม่มีไขติดตัวตอนคลอด แท้จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิดหมดค่ะ เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีในน้ำมะพร้าวไม่ได้มีส่วนในเรื่องของการแท้ง เพียงแต่คุณแม่ตั้งครรภ์มีฮอร์โมนตัวนี้มากพออยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องกินเพิ่ม และไขที่ติดตัวทารกตอนเกิด จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับอายุครรภ์ที่คลอด ยิ่งคลอดในช่วงอายุครรภ์น้อยยิ่งมีไขเยอะ เพราะฉะนั้นหากคุณแม่อยากกินน้ำมะพร้าวก็กินได้ค่ะ แต่ไม่ควรกินเยอะ เพราะน้ำมะพร้าวมีน้ำตาลสูง กินมากก็อาจทำให้น้ำตาลขึ้นและเป็นเบาหวานหรืออ้วนได้ค่ะ
แม่ท้องทำน้ำหนักรับขวัญลูกน้อย
หมอแนะนำให้คุณแม่ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ หากคุณแม่มีน้ำหนักตามมาตรฐานปกติขณะตั้งครรภ์ควรจะมีน้ำหนักเพิ่มโดยรวมคือ 12-18 กิโลกรัม แต่หากคุณแม่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่แล้ว แนะนำว่าในระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ควรมีน้ำหนักเพิ่มเพียง 7-11 กิโลกรัมเท่านั้น แต่หากคุณแม่ผอมมาก ในระหว่างการตั้งครรภ์ควรเพิ่มน้ำหนักมากกว่า 18 กิโลกรัมค่ะ โดยหมอไม่แนะนำให้ลดน้ำหนักหรืออดอาหารในระหว่างการตั้งครรภ์โดยเด็ดขาด เพียงแค่ควบคุมปริมาณน้ำหนักที่จะเพิ่มจากเดิมด้วยการเลือกกินให้สมดุลเท่านั้นค่ะ
ในไตรมาสแรกน้ำหนักคุณแม่จะยังไม่เพิ่มเท่าไร แต่เมื่อถึงไตรมาสที่ 2-3 น้ำหนักของคุณแม่ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นช่วงที่ลูกเริ่มเจริญเติบโต เพราะฉะนั้นหากคุณแม่กังวลว่าท้องแล้วแต่ในช่วงไตรมาสแรกน้ำหนักไม่ขึ้นเลย แบบนี้จะเป็นอะไรไหม ก็ขอให้สบายใจว่าไม่ได้เป็นอะไรค่ะ และโดยทั่วไปหมอจะตรวจขนาดมดลูกด้วยการคลำและวัดด้วยมือเป็นระยะอยู่แล้ว เพื่อดูว่าขนาดมดลูกและอายุครรภ์สอดคล้องไปด้วยกันหรือไม่ สมมุติว่าดูแล้วขนาดและอายุครรภ์มันไม่ได้ไปด้วยกัน หมอจึงจะอัลตราซาวด์ หาสาเหตุ และหาวิธีแก้ไขให้ค่ะ
อ่านต่อ “ยาสำคัญ บำรุงแม่และลูกน้อย” คลิกหน้า 2
ยาสำคัญ บำรุงแม่และลูกน้อย
ยาบำรุงสำหรับแม่ท้องมีวางขายอยู่มากมายหลายขนาน แต่ยาที่มีประโยชน์กับแม่ท้องจริงๆ และหมอแนะนำให้คุณแม่รับประทาน มีเพียงยาบางชนิดเท่านั้นเองค่ะ
- โฟลิกหรือโฟเลต
หมอแนะนำให้กิน 0.4 มิลลิกรัมต่อวันตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ประมาณ 1 เดือน ไปจนถึง 3 เดือนหลังตั้งครรภ์ ยาตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากการพิการบางอย่างได้ เช่น ปากแหว่งเพดานโหว่ หรือท่อประสาทสันหลังไม่ปิด อีกทั้งยังเป็นยาที่ช่วยบำรุงระบบประสาทของลูกด้วยค่ะ
- ยาเสริมธาตุเหล็ก
มีผลการวิจัยทางการแพทย์รองรับว่าสำคัญกับแม่ท้องอย่างมาก เนื่องจากลูกดึงธาตุเหล็กของคุณแม่ไปใช้ตลอดเวลา และในร่างกายแม่ท้องจะมีปริมาณน้ำเลือดเพิ่มมากขึ้น ขณะที่เม็ดเลือดยังเท่าเดิม ทำให้คุณแม่เกิดภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก ยาเสริมธาตุเหล็กจึงไปช่วยในการสร้างเม็ดเลือดให้คุณแม่ แต่ปัญหาอยู่ที่การกินธาตุเหล็กอาจไปเพิ่มอาการคลื่นไส้อาเจียนในช่วงไตรมาสที่ 1 หมอจึงแนะนำให้กินธาตุเหล็กในไตรมาสที่ 2 ขึ้นไปจนหลังคลอด คุณแม่จะได้สามารถเสียเลือดในระหว่างคลอดได้โดยที่ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนค่ะ นอกจากนี้ธาตุเหล็กอาจส่งผลข้างเคียงได้บ้าง เช่น ทำให้คลื่นไส้ ถ่ายดำ หรือท้องผูก แต่ก็มีความสำคัญและแม่ท้องจำเป็นต้องกินค่ะ
- ยาเสริมแคลเซียม
แม่ท้องต้องการแคลเซียมประมาณ 1000 มิลลิกรัมต่อวัน หากคุณแม่ได้รับแคลเซียมจากอาหารที่กินอยู่เพียงพอ หมอจะไม่แนะนำให้กินเสริมอีกค่ะ อาหารที่มีแคลเซียมสูงนอกจากนม ยังมีผักใบเขียว กุ้งหรือปลาตัวเล็ก เต้าหู้ ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ไข่ไก่ กะปิ ฯลฯ คุณแม่บางคนเข้าใจว่าแคลเซียมมาจากนมอย่างเดียว ก็จะพยายามกินนมเยอะๆ ทำให้ร่างกายได้รับอาหารประเภทนมมากเกินไป ส่งผลให้เด็กแพ้นมวัวกันมากมายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นเลือกกินอาหารที่มีแคลเซียมให้หลากหลายและกินสลับกันไปดีกว่าค่ะ
ซื้อยาบำรุงกินเอง ต้องระวังอันตราย
วิตามินบางอย่างหากได้รับมากๆ อาจมีผลเสียได้ โดยเฉพาะยาเสริมวิตามินรวมและน้ำมันตับปลาซึ่งอาจจะมีปริมาณของวิตามินบางชนิดที่มากเกินความจำเป็น และร่างกายไม่ต้องการ โดยเฉพาะวิตามินเอในยารักษาสิวแบบกิน หากคุณแม่ใช้ยาทาแต้มผิวเพียงเล็กน้อยหมอก็ยังอนุโลมให้ใช้ได้ แต่ยากินรักษาสิวหรือโรแอคคิวเทนซึ่งสะกัดจากวิตามินเอเข้มข้น อันนี้หมอขอห้ามเด็ดขาดทั้งในแม่ท้องและแม่ที่กำลังวางแผนจะมีลูก เพราะมีรายงานชัดเจนว่ามีแนวโน้มทำให้เด็กพิการถึง 26 เท่าเมื่อเทียบกับคนปกติค่ะ
ลูกน้อยในช่วงไตรมาสแรกกำลังพัฒนาโครงสร้างร่างกายอย่างต่เนื่อง คุณแม่จึงควรระวังสิ่งที่อาจมากระตุ้นหรือทำให้การพัฒนาโครงสร้างผิดปกติ เช่น การใช้ยา อาหารเสริม หรือวิตามินอื่นๆ ที่ไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะแม้จะเป็นยาบำรุงหรือยารักษาโรคก็มีอยู่หลายกลุ่ม บางกลุ่มปลอดภัย มีผลกระทบต่ำไปจนถึงมีผลกระทบสูง และอันตรายมาก หากคุณแม่อยากกินยานอกเหนือจากที่หมอแนะนำ หรือเจ็บป่วยแล้วมีความจำเป็นต้องกินยารักษาโรค แม้จะเป็นยาสามัญประจำบ้านทั่วไปก็ควรปรึกษาหมอก่อนนะคะ
แม่ท้องอยากสวย & เฟิร์ม
หมอไม่แนะนำการทำเลเซอร์หรือการฉีดสารต่างๆ เพื่อความงามสำหรับแม่ท้อง เพราะยังไม่มีงานวิจัยรับรองว่าปลอดภัยสำหรับเด็กจริง แต่ครีมหรือโลชั่นทาผิวที่มีมาตรฐานรับรองยังใช้ได้ค่ะ ส่วนการออกกำลังกาย สำหรับคุณแม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีภาวะเสี่ยง ไม่มีโรคประจำตัว ยังทำได้ตามปกติ เพียงแต่ไม่ควรหักโหมเท่าตอนก่อนตั้งครรภ์และหลีกเลี่ยงท่าออกกำลังกายที่เกี่ยวกับข้อต่อ เพราะข้อกระดูกของแม่ท้องจะหลวมกว่าปกติ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการปะทะ การชน การล้ม และการกดทับบริเวณหน้าท้อง การออกกำลังกายที่หมอแนะนำคือ การว่ายน้ำ เพราะน้ำจะช่วยพยุงน้ำหนักให้ไม่เกิดการบาดเจ็บต่อหน้าท้องและข้อต่อต่างๆ โยคะก็ทำได้นะคะ แต่ต้องหลีกเลี่ยงท่านอนคว่ำนอนหงายต่างๆ ที่เสี่ยงต่อการทับท้องและทับเส้นเลือด ซึ่งอาจทำให้คุณแม่เวียนหัวและความดันตกได้ค่ะ
หมอฝากถึงแม่ท้องมือใหม่
หมอไม่อยากให้คุณแม่กังวลมากจนเกินไป เพราะกระบวนการตั้งครรภ์เป็นเรื่องธรรมชาติ คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ซึ่งหากคุณแม่ดูแลตัวเองดีแล้ว แต่ยังมีปัญหาแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ นั่นอาจเป็นสิ่งที่คุณแม่ควบคุมไม่ได้ เพราะการแท้งมีหลายปัจจัย ทั้งเกิดจากตัวเด็กเองที่มีปัญหา ซึ่งหากเด็กไม่มีความสมบูรณ์ เขาก็จะแท้งไปเองเป็นกลไกตามธรรมชาติ คุณแม่เพียงแค่ทำใจให้สบาย ใช้ชีวิตตามปกติ ไม่เครียด กินอาหารที่มีประโยชน์ให้หลากหลาย กินยาตามแพทย์สั่ง เพียงเท่านี้ก็ถือว่าคุณแม่ทำได้ดีที่สุดแล้วค่ะ
ที่มา: นิตยสารอมรินทร์เบบี้แอนด์คิดส์ ฉบับ มกราคม 2559
บทความโดย: กองบรรณาธิการนิตยสารฯ
ภาพ: Shutterstock
Save
Save
Save
Save
Save