อัลมอนด์ เป็นหนึ่งในอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด ซึ่งนอกจากจะมีคุณค่าทางโปรตีน ไขมันสุขภาพ วิตามิน และแร่ธาตุแล้ว คุณพ่อคุณแม่รู้หรือไม่ว่า อัลมอนด์ มีอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีพิษ หากรับประทานไม่ถูกชนิด และไม่ถูกวิธี
ทำความรู้จัก อัลมอนด์
หลายคนชอบรับประทานอัลมอนด์ เพราะด้วยความกรอบ หวาน มัน และเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จนถูกยกให้เป็น 1 ใน 10 ซูเปอร์ฟู้ด ก่อนที่จะรู้ว่าประโยชน์ของอัลมอนด์มีอะไรบ้าง ขอพาไปทำความรู้จักกับลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของอัลมอนด์กันก่อนค่ะ
อัลมอนด์ถือเป็นพืชตระกูลเดียวกับ พรุน เป็นพืชพื้นเมืองของตะวันออกกลาง เอเชียตอนใต้ และแอฟริกาเหนือ ผลของอัลมอนด์นั้นจะมีลักษณะเป็นผลเดี่ยว แบบเดียวกับ พลัม ลูกพีช และแอพริคอต ซึ่งเมล็ดของอัลมอนด์ จะมีเปลือกหนาและแข็ง
ความจริงแล้วอัลมอนด์ที่เรานำมารับประทานกันนั้นไม่ได้เป็นถั่ว หากแต่เป็นส่วนของเมล็ด และที่เราซื้อมารับประทานกันนั้นมักจะเอาส่วนเปลือกแข็งๆ ออกไปแล้ว แต่อย่างไรก็ดี อัลมอนด์ก็จัดว่ามีสารอาหารมากที่สุดในบรรดาถั่วเปลือกแข็งทั้งหมด ถือเป็นหนึ่งใน 10 ของสุดยอดอาหารเพื่อสุขภาพเลยก็ว่าได้
อ่าน “ประโยชน์ของอัลมอนด์” คลิกหน้า 2
ประโยชน์ของอัลมอนด์
1.ให้พลังงานไขมันดีสูง รับประทานแล้วไม่อ้วน ซึ่งในอัลมอนด์ 1 เม็ด ให้พลังงาน 7 แคลอรี่
2.ในบรรดาถั่วเปลือกแข็งทั้งหลาย อัลมอนด์มีสารอาหารมากที่สุด โดยเฉพาะโปรตีน จึงช่วยในการเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย ถ้าเทียบตามน้ำหนักแล้วอัลมอนด์ให้โปรตีนสูงถึง 21.15%
3.ช่วยบำรุงระบบประสาท และสมอง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เพราะในอัลมอนด์มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนอย่างโอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ในปริมาณสูง
4.มีวิตามิน B6 ช่วยเพิ่มเมตาโบลิซึมในการเผาผลาญโปรตีนที่จะนำไปซ่อมแซมเซลล์สมอง วิตามิน B6 ยังช่วยเพิ่มขบวนการสร้างสารสื่อประสาท ช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคพาร์กินสัน
5.ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือด โดยเฉพาะกรดไขมันไม่อิ่มตัวโอเมก้า 6 ที่มีความสำคัญในการลดการอุดตันของเส้นเลือด การรับประทานอัลมอนด์เป็นประจำจะช่วยเพิ่มระดับ HDL ซึ่งเป็นไขมันดี และลดระดับไขมันเลวหรือ LDL โดยมีงานวิจัยหลายชิ้นที่บอกว่าหากรับประทานอัลมอนด์เพียงวันละ 2 หยิบมือจะช่วยลดระดับ LDL ได้ถึง 9.4%
6.ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจโดยตรง เมื่อระดับคอเลสเตอรอลในเลือดน้อย เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจก็จะทำงานได้ดี กรดโฟลิกในอัลมอนด์ ยังช่วยในการสลายไขมันที่เกาะอยู่ตามหลอดเลือด ช่วยลดการอักเสบของผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความยีดหยุ่นดีขึ้น ซึ่งมีรายงานการวิจัยว่าการรับประทานอัลมอนด์สัปดาห์ละ 5 ครั้ง จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจวายได้มากถึง 50 %
7.ป้องกันโรคเบาหวาน เพราะจะไปช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง
8.มีโพแทสเซียมสูง ซึ่งนั่นจะเป็นตัวช่วยลดปริมาณโซเดียมในร่างกาย ช่วยลดความดันเลือด และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง
9.มีประโยชน์สำหรับผู้ชายวัยสูงอายุ เพราะโพแทสเซียมที่พบในปริมาณที่มาก จะไปทำงานร่วมกับสารตัวอื่นๆ ในอัลมอนด์ เพื่อช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterrone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศที่สำคัญที่สุดของผู้ชาย
10.ช่วยลดการเกิดโรคกระดูกพรุน ทำให้ฟันแข็งแรง
11.ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามิน B วิตามิน E และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ที่พบในเมล็ดอัลมอนด์แช่น้ำ และอัลมอนด์ยังมีไขมันอิ่มตัวในปริมาณที่ต่ำอีกด้วย
12.เหมาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เพราะมีโฟเลตและสารที่ช่วยการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และช่วยลดอัตราการเกิดภาวะผิดปกติของทารกในครรภ์
13.เส้นใยอาหารในอัลมอนด์ ช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานเป็นปกติ จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูก และลดโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้
14.มีกรดไขมันในโอเมก้า 3 จะช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตของปลายประสาทในสมอง ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อสัญญานข้อมูลภายในเซลล์สมอง ทำให้เซลล์สมองทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายจากความตึงเครียด
15.ช่วยในการลดน้ำหนัก เมื่อรับประทานอัลมอนด์เป็นอาหารว่างแทนขนมหวาน หรือของกินจุกจิก เพราะอัลมอนด์จะมีใยอาหารที่อุ้มน้ำได้เยอะ ทำให้รู้สึกอิ่ม เวลาที่ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนก็จะทำให้ไม่ค่อยหิว
นอกจากนี้สำหรับ นมอัลมอนด์ ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่แพ้โปรตีนในน้ำนมวัว และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ชายที่ไม่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองที่มีไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจน จนทำให้การผลิตอสุจิน้อยลง ทำให้มีลูกยาก อีกด้วย
อ่าน “อัลมอนด์สายพันธุ์ไหนกินแล้วอันตราย?” คลิกหน้า 3
อัลมอนด์สายพันธุ์ไหนกินแล้วอันตราย?
1.อัลมอนด์หวาน จะมีลักษณะที่คุ้นหน้าคุ้นตาคุณพ่อคุณแม่ตามที่เห็นขายทั่วไป ซึ่งชนิดหวานนิยมนำไปคั่วอบ แล้วกินเล่น หรือใส่ในเบเกอรี่ อีกทั้งยังกินแบบดิบๆ ได้ นอกจากนี้อัลมอนด์หวาน ยังสามารถนำเอาเมล็ดดิบมาใช้ทำเป็นนมอัลมอนด์ ซึ่งจะมีรสชาติหอม มัน อีกด้วย
2.อัลมอนด์ขม ในส่วนของอัลมอนด์ขมตัวนี้ ลักษณะเมล็ดจะสั้นๆ เป็นรูปคล้ายหัวใจ ♥ หาซื้อได้ตามร้านยาจีน ซึ่งสรรพคุณช่วยบำรุงปอด และไต ชาวจีนนิยมเอามาต้มทำยา แต่จะไม่สามารถนำมารับประทานแบบดิบได้ เพราะ “เป็นพิษ” มีสาร Hydrocyanic acid (Prussic acid) และ Hydrogen cyanide ต้องต้มให้สุกก่อน และจะมีกลิ่นเฉพาะคล้ายๆ กลิ่นนมแมว หรือกลิ่นไซยาไนด์ ซึ่งสารทั้งสองชนิดเป็นพิษต่อร่างกาย และหากรับประทานอัลมอนด์ชนิดขมแบบดิบเข้าไปเพียง 1 ออนซ์ ก็เป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายได้ ในบางประเทศการขายอัลมอนด์ขมดิบถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และถ้าในบ้านเราก็หาได้ที่ “เยาวราช” ซึ่งที่คุณพ่อคุณแม่เห็นวางขายกันนั้นมักจะถูกลวก หรือทำลายสารพิษด้วยน้ำร้อนมาแล้ว
คำแนะนำในการกินอัลมอนด์
เมล็ดอัลมอนด์ แช่น้ำจะย่อยง่ายกว่า โดยเฉพาะเด็กและผู้ที่มีอายุ 51 ปีขึ้นไป วิธีการก็คือเพียงแค่นำเมล็ดอัลมอนด์ไปแช่ในน้ำสะอาดทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นก็นำมารับประทาน หรือทำเป็นนมอัลมอนด์ โดยปั่นรวมกับน้ำแล้วกรองแยกเอากากออก
และที่อัลมอนด์แช่น้ำมีประโยชน์กว่า ก็เป็นเพราะว่าปกติในเปลือกสีน้ำตาลที่หุ้มของเมล็ดอัลมอนด์จะมีสารยับยั้งไม่ให้มีการปลดปล่อยเอ็นไซม์ เพื่อไม่ให้เมล็ดอัลมอนด์งอกเป็นต้น หลังจากแช่น้ำแล้วสารอาหารในอัลมอนด์จะเพิ่มขึ้น เป็นการเลียนแบบธรรมชาติ เหมือนกับที่เวลาเมล็ดได้รับน้ำหรือความชุ่มชื้น ขบวนการทางเคมีภายในเมล็ดจะเปลี่ยนแปลงทำให้เมล็ดพืชงอกออกมาเป็นต้นนั่นเอง ร่างกายของเราก็จะย่อย และดูดซึมเอาสารอาหารที่ประโยชน์เหล่านั้นไปใช้ได้อย่างเต็มที่ แถมเนื้ออัลมอนด์จะนิ่ม และเคี้ยวง่ายขึ้นอีกด้วย
วิธีแช่เมล็ดอัลมอนด์
ใส่เมล็ดอัลมอนด์ ½ ถ้วย ในน้ำสะอาด 2 ถ้วย แช่ทิ้งไว้ข้ามคืน ประมาณ 10-12 ชั่วโมง วันถัดมาให้รินน้ำทิ้ง แล้วนำอัลมอนด์ไปใส่ในกระปุกหรือถุงพลาสติก แล้วนำไปเก็บไว้ในตู้เย็น ซึ่งการทำแบบนี้จะสามารถเก็บอัลมอนด์ไว้รับประทานได้เป็นอาทิตย์ อีกทั้งเมล็ดอัลมอนด์ที่กำลังงอกจะนิ่มและมีรสชาติที่หวานขึ้น
เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ก่อนซื้ออัลมอนด์ให้ลูกน้อยรับประทานคุณพ่อคุณแม่ต้องดูกันให้แน่ชัดก่อนนะคะว่าไม่ใช่อัลมอนด์ขมที่มีพิษ เพราะแทนที่จะได้ประโยชน์เต็มๆ จากอัลมอนด์ ลูกน้อยก็อาจได้รับสารพิษซึ่งส่งผลร้ายต่อร่างกายได้แน่นอน ด้วยความปรารถนาดีจาก Amarin Baby & Kids
ขอบคุณที่มาจาก : www.organicfacts.net, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ maanow.com
อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!!