เมื่อถึงวัยที่คุณแม่ต้อง ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร (10-12 เดือนขึ้นไป) ซึ่งอาหารเสริมสำหรับเจ้าตัวเล็กวัยนี้ เริ่มจะเพิ่มความหยาบมากขึ้น คุณแม่ก็สามารถทำอาหารเสริมได้หลากหลาย จากที่นำส่วนผสมโถปั่นก็เปลี่ยนเป็นใช้การสับหยาบ ๆ เพื่อให้ลูกได้ใช้ฟันขบกัดเคี้ยวกลืน
เมื่อพูดถึงการฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร ดูๆ ไปแล้วก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณแม่รู้หรือไม่ว่า…กว่าที่เจ้าตัวเล็กจะสามารถเคี้ยวอาหารต่างๆ ได้คล่อง ต้องอาศัยเวลาในการฝึกพอสมควร เพราะการบดเคี้ยวและกลืนอาหารต้องอาศัยการทำงานประสานกันของอวัยวะในช่องปากหลายส่วน
ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร ด้วย “ต้มจืดลูกเงาะ”
สูตรดีทำง่าย ได้ประโยชน์เต็มคำ!
สำหรับเด็กบางคนอาจเคยมีประสบการณ์กินอาหารที่แข็งครั้งแรกแล้วไม่สำเร็จ คือไม่ทันได้เคี้ยวให้ละเอียดแล้วรีบกลืนลงคอ ทำให้ระคายคอแล้วอาเจียน หรืออาจเป็นเพราะพ่อแม่ป้อนอาหารคำใหญ่เกินไป ทำให้เคี้ยวยากและกลืนลำบาก หากพยายามกลืนก็อาจมีอาการจุกในคอ เนื่องจากอาหารติดอยู่ในหลอดอาหาร หากเป็นในผู้ใหญ่ จะใช้วิธีรีบดื่มน้ำเข้าไป อาการจึงดีขึ้น แต่เด็กจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและควรแก้ไขอย่างไร
หากอาหารติดคออยู่นานอาจทำให้ลูกเล็กกลัวการกินของแข็งไปเลย ร่วมกับอาการตื่นเต้นตกใจของผู้ป้อนที่เห็นเด็กมีอาการอาเจียนหรือติดคอ เด็กจะกลัวการกินของแข็งและฝังใจว่าถ้ากินอีกจะอาเจียนอีก กลายเป็นพฤติกรรมที่ติดเป็นนิสัยได้ค่ะ ดังนั้นครั้งต่อมาเมื่อมีการป้อนข้าวลักษณะเดียวกันอีก ทั้งที่ยังไม่เข้าปากลูกเลยเขาอาจจะเริ่มทำท่าโก่งคออาเจียนแล้ว
(ชมคลิป >> ช่วยลูกอาหารติดคอ สำลัก เมื่อไม่หมดสติ)
การเคี้ยว..สำคัญกับลูกแค่ไหน
หากพูดถึง การเคี้ยว ที่ดูเหมือนง่ายกับเรา แต่อาจยากสำหรับลูกในตอนแรกๆ นั้น สำคัญกับการเจริญเติบโตของลูกน้อยเป็นอย่างมากเลยนะคะ เพราะการเคี้ยวเป็นจุดเริ่มต้นของการย่อยอาหาร และการนำสารอาหารไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ถ้าลูกเคี้ยวไม่เป็น ก็เท่ากับว่า ลูกจะไม่มีการเจริญเติบโตตามวัยที่ดี ซึ่งเมื่อลุกอายุครบ 1 ขวบ นมที่เคยเป็นอาหารหลัก ก็จะกลายเป็นอาหารเสริมไปโดยปริยาย นั่นก็แปลว่าอาหารหลักที่เข้ามาแทนที่นมก็จะเป็นอาหาร ที่หลากหลายและครบ 5 หมู่ด้วยค่ะ
ฝึกทักษะเคี้ยว-กลืน เริ่มได้ตั้งแต่ 6 เดือน
คุณแม่อาจฝึกทักษะด้านการเคี้ยวและกลืนได้ตั้งแต่เล็ก
- โดยพยายามให้ลูกได้เห็นคนอื่นทำเป็นต้นแบบ ตั้งแต่การตักอาหารเข้าปากเคี้ยวและกลืน พอถึงวัยให้อาหารเสริม คืออายุ 6 เดือน ควรทำอาหารให้มีลักษณะข้นกว่านม คล้ายโยเกิร์ต แล้วใช้ช้อนตักป้อน เพื่อฝึกการใช้ลิ้นพาอาหารให้กลืนลงคอได้ ไม่ใช่ปั่นจนเหลวแล้วใส่ขวดให้ลูกดูด
- พอลูกกลืนได้คล่อง ให้ทำอาหารเหนียวข้นขึ้นเรื่อยๆ (คล้ายมันบด) ลูกจะเริ่มมีทักษะในการกลืนของที่ฝืดคอมากขึ้น เมื่อลูกเริ่มมีอาการคันเหงือก อยากเคี้ยว อยากงับ ให้ทำอาหารที่หยาบขึ้น แต่ตุ๋นจนนุ่ม เป็นการบังคับให้ลูกหัดเคี้ยวก่อนกลืนลูกไม่ยอมเคี้ยว ติดคอ สำลัก
- พอลูกเริ่มนั่งเองได้ ให้นั่งรับประทานอาหารกับผู้ใหญ่ โดยทำอาหารที่หยิบใส่ปากได้ด้วยตัวเอง เช่นผักต้มสุกจนนิ่ม หรือผลไม้เนื้อนิ่มหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- เมื่อลูกอายุ 9 – 10 เดือน ควรให้รับประทานข้าวต้มนิ่มๆ หรือโจ๊ก และเปลี่ยนเป็นข้าวสวยได้เมื่ออายุประมาณ 1 ขวบขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องรอจนเด็กมีฟันครบ
นอกจากนี้การฝึกให้ลูกเคี้ยวจะต้องเริ่มด้วยอาหารที่เหมาะสม และต้องเริ่มในเวลาที่ถูกต้องด้วยถึงจะช่วยให้การฝึกได้ผลดี การจัดอาหารตามวัยให้เด็กๆลูกถือเป็นเรื่องสำคัญ ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการและนักโภชนาการย้ำเสมอว่า ต้องปรับให้เนื้ออาหารหยาบขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้เด็กใช้ฟันและฝึกการเคี้ยว จนกินอาหารแข็งได้ค่ะ
อ่านต่อ >> “เผยสูตรดี เมนูฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร “ต้มจืดลูกเงาะ”
ทำง่าย ได้ประโยชน์เต็มคำ!” คลิกหน้า 2
บทความโดย : พญ.สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านทารกแรกเกิด
เรียบเรียงโดย: กองบรรณาธิการนิตยสาร Amarin Baby & Kids
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
เพราะการเคี้ยวอาหารเป็นทักษะที่ต้องอาศัยประสบการณ์และจะให้เหมาะและฝึกง่าย ควรฝึกก่อน 1 ขวบแต่หลังจากนั้นก็ยังฝึกได้ค่ะขอเพียงอดทนและให้เวลามากหน่อยค่ะ และเพื่อลดความกังวลของคุณแม่ลง ลองมาดูกันว่าจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ คุณแม่จะสามารถทำอะไรได้บ้างดีกว่าไหมค่ะ
คำแนะนำจากคุณหมอเพื่อให้คุณแม่ช่วยฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร
1. เข้าใจ การที่ลูกไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้นั้นไม่ใช่ความผิดของเขา แต่เกิดจากลูกไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อนช่วงแรกของการฝึกหากลูกยังไม่ยอมเคี้ยวหรือบ้วนทิ้งนั่นก็เพราะอาจจะไม่คุ้นกับรสสัมผัสแบบใหม่หรือเขาไม่ชอบเคี้ยว ดังนั้นช่วงแรกๆ ควรจัดอาหารชนิดเดิมประมาณ 3-4 วันเพื่อให้ลูกคุ้นเคยก่อนแล้วค่อยๆเปลี่ยนชนิดอาหาร เช่น ปกติลูกกินแต่โจ๊ก คุณแม่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นข้าวต้มกับเนื้อสัตว์เพียงชนิดเดียวก่อน แล้วเปลี่ยนชนิดของเนื้อสัตว์ จนลูกคุ้นกับข้าวต้มจึงค่อยเปลี่ยนเป็นข้าวสวยตามลำดับ
2. ให้มีส่วนร่วม ลูกในวัยนี้เริ่มทำอะไรได้ด้วยตัวเองได้แล้ว และบอกความต้องการของตัวเองได้บ้าง เขาควรได้โอกาสมีส่วนร่วมในกิจวัตรประจำวันของเขา ลองคิดดู…พอถึงเวลากินข้าวก็จับเขานั่งบนเก้าอี้แล้วเอาแต่ป้อนให้เสร็จๆ ไป เรื่องกินสำหรับลูกช่างไม่น่าสนุกเอาเสียเลย…คุณว่าไหม….ลองเปลี่ยนเป็นชวนลูกไปเลือกจานชาม ถือช้อนเอง ตักกับข้าวบ้าง ต้องเลอะเทอะและเหนื่อยเก็บเช็ดกันบ้าง แต่แลกกับลูกรู้สึกดีกับการกิน และไม่ต้องเสียน้ำตากันเวลากินข้าว…ไม่คุ้มหรือ??
3. ให้กำลังใจ ในการฝึกไม่ว่าเรื่องใดๆ การให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่าในระยะแรก ลูกจะกินได้น้อย ทำหกบ้างสำลักบ้าง การทำท่าตกใจหรือดุลูก เขาอาจไม่ทำอีกหรือยิ่งร้องไห้หนักให้หัวเสียกันไปหมอ คำพูดให้กำลังใจใช้ได้เสมอ เช่น “ไม่เป็นไร ลองใหม่นะ” “คำนี้เล็กหน่อย เคี้ยวได้แน่” และเมื่อลูกเริ่มกินได้ก็อย่าขาดคำชมค่ะ “อะ…เคี้ยวแล้ว ทำได้นี่เรา เห็นแล้วชื่นใจ” บอกความรู้สึกว่าเขาทำให้คุณดีใจขนาดไหน เพื่อเพิ่มความมั่นใจและเป็นกำลังใจให้แก่เจ้าตัวเล็ก
4. หักดิบ วิธีนี้อาจจะโหดไปหน่อย แต่เหมาะสำหรับคุณแม่ที่ใจแข็งพอ จัดเมนูที่เนื้ออาหารเป็นชิ้น เป็นคำ หยาบขึ้นทุกมื้อไปเลยค่ะ และถ้าลูกไม่กินหรือเอาแต่อมลูกเดียวก็ไม่ต้องป้อนต่อ เก็บอาหารเมื่อถึงเวลา โดยไม่มีอาหารว่าง ของกินเล่น รอเสิร์ฟมื้อต่อไป (คุณแม่รู้หรือไม่ว่าเจ้าตัวน้อยสามารถอดอาหารได้นานถึง 2 วันเชียวนะ) เชื่อว่าถ้าเขาหิวและไม่มีตัวเลือกอื่นจะไม่ยอมกิน ไม่ยอมเคี้ยวได้อย่างไร
5. ปรึกษาคุณหมอ ถ้าลูกของคุณผ่านการฝึกมาสักระยะหนึ่งแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมเคี้ยวสักที แถมมีอาการสำลักทุกครั้งที่คุณป้อนอาหารหยาบ หรือมีน้ำหนักตัวน้อยกว่ามาตรฐาน แบบนี้แนะนำให้พาลูกไปหาคุณหมอเพื่อหาสาเหตุอื่นๆ ดีกว่าค่ะ
ผลเสียของการไม่ ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร
- ขาดสารอาหาร ⇒ หลังอายุ 6 เดือนไปแล้ว ร่างกายของลูกต้องการสารอาหารและพลังงานมากขึ้น น้ำนมเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หากลูกยังไม่ยอมเคี้ยวอาหาร หรือเคี้ยวไม่เป็น จะทำให้ลูกขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งจะส่งโดยตรงต่อพัฒนาการด้านร่างกายและสมองของลูก
- ระบบขับถ่ายไม่ปกติ ⇒ การที่ลูกกินแต่อาหารเหลวตลอดเวลาทำให้ร่างกายไม่ได้รับกากใยอาหาร ซึ่งจะมีผลต่อระบบขับถ่าย ทำให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ เกิดอาการท้องผูก ซึ่งหากปล่อยไว้นานๆ ก็อาจจะทำให้เป็นริดสีดวงทวารตามมาได้ นอกจากนี้เด็กที่ขาดทักษะในการเคี้ยว ทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก่อนกลืน ทำให้กระเพาะต้องทำงานหนัก ส่งผลให้ระบบย่อยมีปัญหาตามมา
- พัฒนาการการพูดช้าลง ⇒ การบดเคี้ยวอาหารจะช่วยให้ขากรรไกร ลิ้น และ กระพุ้งแก้ม ซึ่งเป็นอวัยวะที่ใช้ในการเปล่งเสียงมีความแข็งแรง หากลูกไม่ได้ฝึกการบดเคี้ยว จะทำให้อวัยวะเหล่านั้นไม่แข็งแรง ซึ่งจะส่งผลต่อพัฒนาการด้านการ พูดของลูก
- เบื่ออาหาร ⇒ ไม่กล้าลิ้มลองอาหารใหม่ๆ เพราะไม่อยากเคี้ยว เมื่อลูกกินแต่อาหารเดิมๆ ซ้ำๆ จะทำให้ลูกเบื่ออาหาร ในที่สุดแม้แต่อาหารเหลวลูกก็ไม่ต้องการ
ทำไมลูกจึงเคี้ยวบ้างไม่เคี้ยวบ้าง?
เด็กส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าอาหารชนิดไหนกลืนได้เลย หรือชนิดไหนต้องเคี้ยวให้ละเอียดก่อน หากป้อนเข้าไปพร้อมๆ กันมีโอกาสที่เด็กจะกลืนเข้าไปเลยแล้วทำให้อาเจียนได้
ดังนั้นคุณแม่ควรช่วยบอกลูกอยู่ข้างๆ ยกตัวอย่างเช่น หากป้อนเต้าหู้นิ่มพร้อมกับหมูสับ ลูกอาจจะอาเจียน เพราะเขาเห็นว่าเป็นเต้าหู้ก็รีบกลืนไปเลย ไม่ทันระวังหมูที่ป้อนมาพร้อมกัน แต่ถ้าป้อนหมูสับอย่างเดียวแล้วเตือนเขาว่า “หมูนะลูก ต้องเคี้ยวก่อนนะคะ” เขาก็จะเคี้ยวแล้วกลืนได้โดยไม่มีปัญหา
ดังนั้นแล้วเพื่อช่วย ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร เชฟแม่หมีจึงมีสูตรดีเมนูเด็ดมาแนะนำ กับ “ต้มจืดลูกเงาะ” เป็นเมนูที่จะช่วยให้ลูกน้อยได้ฝึกการเคี้ยวเนื้อสัตว์ และผัก ว่าแต่จะมีส่วนผสมและวิธีทำจะเป็นอย่างไรบ้าง ตามไปดูกันเลยค่ะ
ชมคลิป >> “ขั้นตอนการทำ ต้มจืดลูกเงาะ เมนูดีช่วย ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร” คลิกหน้า 3
ขอบคุณข้อมูลจาก : baby.haijai.com
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
วัตถุดิบและส่วนผสม ของ “ต้มจืดลูกเงาะ”
เมนูดีช่วย ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร
วัตถุดิบและส่วนผสม |
ปริมาณตวง |
เนื้อไก่สับ | ¼ ถ้วย |
วุ้นเส้น แช่น้ำตัดเป็นท่อนสั้น ๆ | ¼ ถ้วย |
กะหล่ำปลี หั่นชิ้นเล็ก | ¼ ถ้วย |
แครอท สับหยาบ | 1 ช้อนโต๊ะ |
ซีอิ๊วขาว | 1 ½ ช้อนชา |
น้ำซุป | 1 ½ ถ้วย |
ขั้นตอนการทำ “ต้มจืดลูกเงาะ” เมนูดีช่วย ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร
(สำหรับลูกวัย 1 ขวบขึ้นไป)
1. ขั้นตอนแรก ให้คุณแม่นำเนื้อไก่ มาผสมกับ วุ้นเส้น แครอท และซีอิ๊วขาว ( ½ ช้อนชา ) เข้าด้วยกัน
2. จากนั้นเทน้ำซุปใส่หม้อ ยกขึ้นตั้งไฟให้เดือด
3. แล้วใส่เนื้อไก่ที่เตรียมไว้ในขั้นแรก ตามด้วยกะหล่ำปลี จากนั้น ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวที่เหลือ
4. สุดท้ายให้คุณแม่เคี่ยวจนส่วนผสมทั้งหมดสุกนุ่ม แล้วจึงตักใส่ถ้วย พร้อมป้อนให้ลูกน้อยกินขณะอุ่นๆ
ชมคลิป >> ขั้นตอนการทำ “ต้มจืดลูกเงาะ” เมนูดี
ช่วย ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร ได้ด้านล่างนี้เลยค่ะ ⇓
โภชนาการดี๊….ดี ของ “ต้มจืดลูกเงาะ” เมนูดีช่วย ฝึกให้ลูกเคี้ยวอาหาร
♥ เนื้อไก่ มีโปรตีนสูง ♣ กะหล่ำปลี มีแคลเซียมและฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน ♠ แครอท มีวิตามินเอ สร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกาย
♥ ติดตามเมนูเด็ดอื่น ๆ โดยเชฟแม่หมีเพื่อลูกน้อยโดยเฉพาะ!
ที่ลิงก์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ ⇓
- สุดยอด เมนูต้านหวัด ป้องกันลูกน้อยไม่ให้ป่วยบ่อย (ซุปมักกะโรนีมะเขือเทศต้านหวัด)
- ข้าวต้มหลากสี อาหารต้านหวัดให้ลูก สูตรดี แสนอร่อยช่วยเพิ่มพลัง!
- เปิดสูตรเด็ด! เมนูบำรุงสมอง ลูกน้อยซูชิข้าวผัดแซลมอน ทำง่ายได้ประโยชน์เต็มคำ (มีคลิป)
- เปิดสูตร เมนูไข่เพิ่มพลัง มื้อเช้าแสนง่าย ช่วยลูกน้อยสมองดี มีกำลัง! (ขนมปังหน้าไข่อบชีส)
- ซุปฟักทอง เมนูอร่อย ทำง่าย! บำรุงสายตาลูกน้อย (มีคลิป)
- คลิปเมนูข้าวต้มปลาทู อาหารบำรุงสมองลูก เสริมความจำดีเยี่ยม!
- สูตรอร่อย “เส้นใหญ่ไก่สับ” เมนูเด็ดแก้ปัญหาลูกเบื่อข้าว (มีคลิป)
- คลิปวิธีทำ “สูตรไก่ทอด” เพื่อลูกน้อย เมนูอร่อยไม่ง้อร้านดัง!