พบ! วิธีกิน เก็บ และการเลือกซื้อ กล้วยน้ำว้า แบบไหนดีกว่ากัน (ดิบ ห่าม สุก งอม) แอดมินแม่ฮันน่าห์ มีคำตอบมาฝาก พ่อแม่ควรดูให้เป็น เลือกให้ถูก เพื่อให้ลูกน้อยได้ประโยชน์สูงสุด
กล้วยน้ำว้า แบบไหนดีกว่ากัน ลูกได้ประโยชน์เต็มๆ
แม่ฮันน่าห์ เชื่อว่าหลายบ้านมักมีผลไม้ติดบ้านไว้ให้ลูกน้อยกิน อย่าง “กล้วย” เป็นแน่! โดยเฉพาะบ้านไหนที่มีคนเฒ่าคนแก่อยู่ด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะต้องเห็นภาพคุณย่าคุณยาย เอากล้วยครูด ป้อนให้ลูกน้อยกิน เพราะ “กล้วย” ถือเป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมรับประทานมานานแล้ว เพราะประโยชน์ของกล้วยนั้นมีมากมาย หรือเรียกได้ว่ามีประโยชน์ทุกส่วนตั้งแต่ต้นยันราก แถมยังเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่มีราคาถูกและหาทานได้ง่ายอีกด้วย
ทั้งนี้ กล้วย ที่นิยมรับประทานกันในบ้านเรานั้นมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ เช่น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุก เป็นต้น แต่สำหรับต่างชาติแล้วกล้วยที่นิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นกล้วยหอม เนื่องจากกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องประโยชน์แล้วแม่ฮันน่าห์ ก็เคยเจองานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุชัดเจนว่า การรับประทานกล้วยแค่ 2 ลูกจะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เทียบเท่ากับการออกกำลังกายถึง 90 นาทีเลยทีเดียว! เพราะ กล้วย อุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติรวมถึง 3 ชนิดเลย นั่นก็คือ ซูโครส กลูโคส และฟรุกโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายนั่นเอง
แต่หากถามว่า กล้วยอะไรมีประโยชน์ที่สุด หรือ กล้วยอะไรดีสุด ก็คงเป็นกล้วยชนิดไหนไปไม่ได้นอกจาก “กล้วยน้ำว้า” ซึ่งสิ่งที่ทำให้ กล้วยน้ำว้า มีคุณค่าพิเศษกว่ากล้วยชนิดอื่น คือ มีโปรตีน กรดอะมิโน อาร์จินิน และฮีสติดิน ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารก เป็นเหตุผลว่าตั้งแต่สมัยโบราณ จนถึงตอนนี้ คุณย่าคุณยายถึงให้ลูกหลานตัวน้อยกินกล้วยบด เพราะกล้วยอุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินที่จำเป็นต่อร่างกายนั่นเอง
ปริมาณสารอาหารใน กล้วยน้ำว้า 1 ลูก
กล้วยน้ำว้า 40 กรัม (1ผลเล็ก) |
|
พลังงาน | 59 กิโลแคลอรี่ |
น้ำ | 25 กรัม |
น้ำตาล | 9 กรัม ประมาณ 1.8 ช้อนชา |
ใยอาหาร | 0.9 กรัม |
เบต้าเคโรทีน | 22 ไมโครกรัม |
วิตามินซี | 4 มิลลิกรัม |
โปแตสเซี่ยม | 128 มิลลิกรัม |
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.lovefitt.com
อ่านต่อ “สรรพคุณของกล้วยน้ำว้าทั้ง 4 วัยที่คุณแม่ควรรู้ก่อนซื้อ” คลิกหน้า 2
สรรพคุณของ กล้วยน้ำว้า ทั้ง 4 วัย
การเลือกกล้วยให้เด็กทารกกินของคนสมัยก่อน จะเป็นการเลือกกล้วยที่สุกงอม คือกล้วยมีการเปลี่ยนสีเปลือกเป็นสีดำบ้างแล้วและเนื้อภายในนุ่มเละเพราะแป้งถูกเปลี่ยนไปเป็นน้ำตาล แต่ในปัจจุบันมีหลายคนที่เลือกกล้วย สีเหลืองสวยงาม ลูกไหนดำๆก็ไม่ค่อยเอามาให้ลูกกิน ทั้งนี้สำหรับเทคนิคการ เลือกซื้อกล้วยน้ำว้า ที่จะให้ลูกได้รับประโยชน์จากกล้วยจริงๆ สามารถพิจารณาได้จากวัยของกล้วย คือ วัยเด็ก (ดิบ), วัยรุ่น (ห่าม), วัยผู้ใหญ่ (สุก) และวัยชรา (งอม)
กล้วยดิบ เปลือกสีเขียวสด เนื้อกล้วยจะแข็ง สีขาว มีรสฝาด และมีสารฝาดสมานชื่อ “แทนนิน” สารนี้มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและของรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสีย เรียกได้ว่าดีกว่ายาแผนปัจจุบันด้วยค่ะ เพราะยาแผนปัจจุบันทำได้เพียงช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร แต่กล้วยช่วยรักษาได้ค่ะ
กล้วยห่าม (เพิ่งเริ่มสุก) เปลือกกล้วยจะยังมีสีเขียวอยู่ประปราย เปลือกจะนิ่มมากขึ้น สามารถเป็นทั้งอาหารและยาสำหรับคนที่ท้องเสีย เพราะกล้วยน้ำว้าแบบห่ามนี้ จะมีสรรพคุณ ช่วยรักษาอาการท้องเสีย หล่อลื่นลำไส้ เพิ่มกากใยเวลาถ่าย การกินกล้วยกึ่งดิบกึ่งสุกนี้ในช่วงเวลาที่ท้องเสียยังเป็นการเพิ่มธาตุโพแทสเซียมไปด้วยในตัว เพราะกล้วยในระยะนี้จะมีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นเวลาท้องเสียแล้วรับประทานกล้วยห่าม จะช่วยชดเชยธาตุโพแทสเซียมที่ร่างกายได้สูญเสียไป
อีกทั้งกล้วยห่ามจะมีสารเซโรโทนินอยู่มาก ช่วยออกฤทธิ์กระตุ้นให้ผนังกระเพาะอาหารสร้างเยื่อเมือกมากขึ้น ช่วยเคลือบแผลในกระเพาะอาหาร แต่ไม่ช่วยลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
กล้วยสุก เปลือกกล้วยจะมีสีเหลือง มีความนุ่มมากขึ้น และอาจจะมีจุดสีน้ำตาลอยู่ประปราย ซึ่งกล้วยน้ำว้าในระยะนี้ มีสรรพคุณเป็น ยาระบายแก้ท้องผูก ค่ะ เพราะมีสาร เพ็กติน อยู่มาก จึงช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กล้วยน้ำว้าที่สุกงอมมากๆจะมีฤทธิ์ระบายสูง เพราะมีสารเพ็กตินมากขึ้นนั่นเอง แต่ฤทธิ์ระบายของกล้วยน้ำว้าสุกไม่รุนแรงมากนัก อุจจาระที่ออกมาเป็นสีเหลือง ไม่มีกลิ่นเหม็น การกินกล้วยสุกก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียด นานๆ มิฉะนั้นจะทำให้ท้องอืด จุกแน่น โดยเฉพาะในเด็กเล็ก
กล้วยสุกงอม ลักษณะเปลือกจะมีสีน้ำตาล และมีความนิ่มมากที่สุด ทำให้คุณแม่ไม่เลือกนำมาให้ลูกน้อยกิน เพราะคิดว่าเน่า แต่จริงๆ แล้วกล้วยจะสร้างสารที่เรียกว่า TNF (Tumor Necrosis Factor) ซึ่งสามารถต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติได้
ให้สังเกตที่จุดดำบนเปลือกกล้วยนะคะ ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดภูมิต้านทานมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง TNF ด้วยค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก : www2.thaihealth.or.th
อ่านต่อ “เฉลยวิธีเลือกซื้อกล้วยน้ำว้า
เพื่อให้ลูกได้ประโยชน์สูงสุด” คลิกหน้า 3
ประโยชน์ของ กล้วยน้ำว้า
การให้ลูก กินกล้วยน้ำว้า แม่ฮันน่าห์ปรึกษาคุณหมอแล้ว ลูกน้อยจะได้รับประโยชน์และคุณค่าสารอาหารจากกล้วยได้ดีที่สุด คือ ควรให้กินเมื่ออายุได้ 6 เดือนไปแล้ว เพราะระบบทางเดินอาหารของเด็กทารกก่อน 6 เดือน มีความสามารถในการย่อยแป้ง ไม่มากนัก และจะย่อยได้ดีขึ้นได้เรื่อยๆเมื่ออายุมากขึ้น ปัญหาก็คือเด็กทารกแต่ละคนไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่อาจจะเริ่มย่อยได้ดีตั้งแต่อายุ 3 เดือน และกินกล้วยได้โดยไม่มีปัญหาอะไร แต่หากเด็กคนนั้นโชคไม่ดี ลำไส้ย่อยไม่ได้ ก็อาจจะเกิดการอุดตันได้แม้จะไปป้อนตอนอายุ 4 5 เดือนแล้วก็ตาม
และนี่ก็ยังไม่นับว่า สมัยก่อนเด็กทารกมีอัตราการตายที่สูงมาก จนเราก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าจริงๆตายเพราะป้อนอาหารผิดหรือตายเพราะติดเชื้อ ดังนั้นในยุคสมัยที่ มีอินเตอร์เน็ตแล้ว คุณพ่อคุณแม่ก็ควรเลือกหนทางที่ปลอดภัยที่สุด และอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งการป้อนกล้วยให้ลูกในวัย 6 เดือนขึ้นไปจึงปลอดภัยกับลูกมากที่สุด
ที่สำคัญในบรรดากล้วยทั้งหมด กล้วยน้ำว้าให้แคลเซียมสูงที่สุดด้วย นอกจากนั้น ยังมีวิตามินบี 1 บี 2 ซี และไนอะซิน (บี 6) ที่ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทาน มีกากใยอาหารทำให้ขับถ่ายได้ง่าย การรับประทานกล้วยให้ดีที่สุดควรรับประทานในตอนเช้า จะช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดี หากรับประทานกล้วยได้ทุกวัน วันละ 2 ผล ร่างกายจะแข็งแรงห่างไกลความเจ็บป่วย นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุอย่างธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยป้องกันโรคความดันได้อีกด้วย
การเลือกซื้อและกินกล้วยน้ำว้าให้ได้ประโยชน์สูงสุด
อย่างไรก็ดี เมื่อทราบถึงประโยชน์ของ กล้วยน้ำว้า 4 วัย การเลือกซื้อกล้วยน้ำว้า ที่ดีหวานอร่อย เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เหมาะสำหรับนำมาให้ลูกน้อยกิน แม่ฮันน่าห์ขอแนะนำว่า อายุของกล้วยนั้นต้องให้อยู่บนเครือประมาณ 3-4 เดือน และควรเลือกผลกล้วยที่มีลักษณะกลมมน มีเหลี่ยมน้อย เพราะเหลี่ยมเยอะจะเป็นกล้วยอ่อน ตำแหน่งของหวีต้องอยู่กลางเครือ และต่อหวีนึงควรมีผลอยู่จำนวนประมาณ 14-16 ลูก ส่วนขนาดจะเล็กใหญ่ไม่สำคัญ ซึ่งหากจำนวนผลกล้วยต่อหวีน้อยกว่านี้ ก็คือกล้วยปลายเครือ ซึ่งมีวิตามินและแร่ธาตุต่ำ คุณค่าทางสารอาหารไม่ดีเท่าที่ควร
วิธีกินกล้วยน้ำว้า คือ ปอกจากบนลงล่าง หรือกินจากปลายจุกลงมานั่นเอง ซึ่งคำแรกก็จะฝาดหน่อยๆ แต่เมื่อกินถึงโคนก็จะหวาน เพราะว่าธาตุอาหารจะอยู่ที่โคนนั่นเอง แต่ถ้าให้ลูกน้อยได้กินจากตรงโคนก่อน คือได้ลิ้มรสชาติหวานก่อน ก็อาจจะทำให้กินต่อเนื่องแบบไม่อร่อย หรือกินไม่หมดลูกก็เป็นได้
ทั้งนี้ กล้วยน้ำว้า เป็นอาหารฤทธิ์เย็น เวลาไปผ่านความร้อนจะเป็นอาหารฤทธิ์อุ่นถึงร้อนขึ้นอยู่กับวิธีการทำ เช่น กล้วยปิ้งไฟอ่อน ปิ้งไม่นานมากก็จะได้ฤทธิ์อุ่น หรือ กล้วยทอด ก็จะมีฤทธิ์ร้อน เป็นต้น ซึ่งลักษณะของกล้วยน้ำว้าที่สุกจะมีแคมเซียมสูงและดูดซึมได้เร็วเมื่อนำไปผ่านความร้อน เช่น กล้วยปิ้ง กล้วยบวชชี กล้วยต้ม เป็นต้น เวลากินร่างกายจะดูดซึมแคลเซียมดีขึ้นหลายเท่า
วิธีเก็บกล้วยให้อยู่ได้นาน
ก่อนอื่นคุณแม่ต้องรู้ก่อนว่าระยะการสุกของกล้วยน้ำว้า เป็นอย่างไร
- ระยะแรก ผลแข็ง เป็นเหลี่ยมชัดเจน เปลือกสีเขียว ทิ้งไว้จะไม่สุก
- ระยะที่2 ผิวเปลือกเริ่มเปลี่ยนสีจากสีเขียวออกเหลืองเล็กน้อย
- ระยะที่3 ผิวเปลือกเปลี่ยนสีเป็นเหลืองมากขึ้น แต่ยังมีสีเขียวมากกว่า
- ระยะที่4 ผิวเปลือกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองมากขึ้น และมีสีเหลืองมากกว่าสีเขียว
- ระยะที่5 ผิวเปลือกบริเวณต้นผลเป็นสีเหลือง ส่วนปลายผลเป็นสีเขียว
- ระยะที่6 ผิวเปลือกทั่วผลจะมีสีเหลืองทั้งหมด เป็นระยะผลสุกพอดี แต่ยังไม่มีกลิ่น
- ระยะที่7 ผิวเปลือกมีสีเหลือง และเริ่มมีจุดสีดำหรือน้ำตาล เป็นระยะผลสุกเต็มที่ และเริ่มมีกลิ่นหอม
- ระยะที่8 ผิวเปลือกมีสีเหลือง และมีสีดำหรือน้ำตาลกระจายทั่วผล เป็นระยะที่ผลสุกมากเกินไป เนื้อกล้วยจะอ่อนนิ่ม มีกลิ่นแรง และจะเริ่มเน่าภายใน 2-3 วัน
วิธีเก็บรักษา
1. เอากล้วยที่ยังแข็ง เขียวอยู่มาเด็ดจากหวี ***โดยจับที่ก้านแล้วเด็ดออกจากหวี อย่าจับที่ตัวลูกและ อย่าใช้มีดตัดจากเครือ มันจะช้ำ
2. จากนั้นเอากล้วยมาพันด้วยแรปพลาสติก โดยพันที่บริเวณโคนหรือตรงก้านที่เด็ดออกมาจากหวี หรือใส่ถุงกระดาษ เป็นลูกๆ แล้วแช่เย็นไว้ จะทำให้เก็บไว้ได้นาน และไม่ช้ำ
3. พอจะทานก็เอาออกมาวางนอกตู้เย็นทิ้งไว้ซักคืนนึง 2 คืน ก็กินได้แล้ว แล้วแต่ความแก่ของกล้วย วิธีนี้จะทำให้กินอร่อยทุกลูก ได้จนหมดหวี ไม่ต้องโยนทิ้งเลย
นอกจากนี้เปลือกของ กล้วยน้ำว้า ยังสามารถช่วยบรรเทา อาการคัน อันเนื่องมาจากแมลงกัดต่อย และ ผื่นแดง จากอาการคันได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ในการ ต้านเชื้อรา และ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดหนองได้อีกด้วย เป็นอย่างไรก็บ้างค่ะ กับวิธีการเลือกซื้อ การกิน การเก็บ และสรรพคุณต่างๆ ของ กล้วยน้ำว้า ที่แม่ฮันน่าห์ ได้แนะนะมาข้างต้นทั้งหมดนั้น เมื่อรู้ว่ากล้วยน้ำว้าดีขนาดนี้แล้ว คุณแม่ก็รีบไปซื้อติดบ้าน ไว้ให้ลูกน้อยกินกันได้เลยนะคะ
อ่านต่อบทความดีๆน่าสนใจ คลิก :
- ตำลึง ตัวผู้ ตัวเมีย ดูให้ดี!เลือกผิด? ลูกกินอาจท้องเสีย
- เผยวิธีเลือก อัลมอนด์ แบบไหน ลูกกินแล้วปลอดภัย?
- ไข่ไก่ กับ ไข่เป็ด อะไรดีกว่ากัน ลูกควรกินไข่ชนิดไหน?
- วิธีดูไข่เก่าไข่ใหม่ เลือกอย่างไรให้ได้ไข่สด!
- เผยวิธี ปอกแอปเปิ้ล อย่างไรไม่ให้ดำ! (มีผลการทดลอง)
- เผยเคล็ดลับ! วิธีเลือกส้มหวาน อร่อย ไม่เปรี้ยว ไม่ฟ่าม
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่