วิจัยชี้! ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม เสี่ยงเป็นโรคหอบหืด - amarinbabyandkids
ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม

วิจัยชี้! ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม เสี่ยงเป็นโรคหอบหืด

Alternative Textaccount_circle
event
ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม
ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม

 

ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม

ให้ลูกดื่มน้ำอัดลม ดื่มน้ำอัดลมตอนท้อง เสี่ยงให้ลูกเป็นหอบหืดจริงหรือ?

เมื่อไม่นานมานี้ Harvard Medical School ได้เผยถึงผลงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว การที่คุณแม่ชอบดื่มหรือเคยดื่มน้ำอัดลมให้ระหว่างตั้งครรภ์นั้น สามารถส่งผลเสียให้กับทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคหอบหืด!

ซึ่งบทงานวิจัยดังกล่าวนั้น ได้ทำการสำรวจกับคุณแม่ตั้งครรภ์จำนวนมากกว่า 1,000 คน พร้อมกับคำถามที่ว่า ในระหว่างที่กำลังท้องอยู่นี้ ชอบดื่มน้ำโซดา น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือไม่?

หลังจากที่ได้ทำการสำรวจก็คอยติดตามดูพฤติกรรมของคุณแม่ตลอด โดยจะมุ่งเน้นไปสรุปผลงานวิจัยในช่วงระหว่างที่คุณแม่เหล่านั้นมีลูกที่กำลังอยู่ในอายุระหว่าง 3-7 ปี และผลวิจัยก็พบว่า 1 ใน 5 ของเด็กป่วยเป็นโรคหอบหืดในขณะที่มีอายุได้ 7 ปี

เด็กส่วนใหญ่ที่คุณแม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเยอะ ยกตัวอย่างเช่น โซดาหรือน้ำอัดลมวันละ 1 กระป๋อง หรือดื่มน้ำผลไม้ 2 แก้วต่อวัน นั้นพบว่า เด็กมีความเสี่ยงในการเป็นโรคหอบหืดมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์เลยละค่ะ ซึ่งตรงนี้รวมถึงเด็กที่โตแล้วและคุณแม่ให้ดื่มน้ำอัดลมด้วยเช่นกันนะคะ คุณแม่อาจจะสงสัยว่า เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลคืออะไร … ซึ่งทีมงานก็ได้หาคำตอบมาเตรียมเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้วเช่นกันค่ะ นั่นคือ น้ำผลไม้กระป๋อง น้ำผลไม้ ช็อกโกแลตร้อน หรือกาแฟเป็นต้น

และนี่คือสาเหตุที่องค์กรกุมารแพทย์ศาสตร์ประจำประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมาแนะนำถึงสาเหตุว่า ทำไมเราถึงไม่ควรให้เด็กดื่มน้ำอัดลม และทำไมถึงควรจำกัดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้ของเด็กให้อยู่ในปริมาณครึ่งแก้ว หรือหนึ่งแก้วต่อวันนั่นเองค่ะ

แต่ผลงานวิจัยดังกล่าว ก็ไม่ได้ระบุว่า น้ำตาลส่งผลกระทบกับการเป็นโรคหอบหืดได้อย่างไร แต่ที่แน่ ๆ การให้ลูกดื่มน้ำอัดลมนั้น ไม่ใช่ผลดีแน่นอนค่ะ ดังเช่นเหตุการณ์ที่เราจะนำมาเสนอในวันนี้ เป็นการเลี้ยงลูกแบบผิด ๆ ของคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ปล่อยให้ลูกน้อยที่มีอายุได้เพียง 4 เดือนดื่มน้ำอัดลม จนสุดท้ายช็อกและลำไส้ทะลุ

อ่านต่อเรื่องราวนี้ได้ที่หน้าถัดไปค่ะ >>


เครดิต: BabyCenter

เรื่องที่คนอ่านมากสุด

keyboard_arrow_up