AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

โรคซึมเศร้าในเด็ก ต้นเหตุเพราะพ่อแม่มีส่วน

โรคซึมเศร้าในเด็ก และวัยรุ่น ภัยเงียบที่น่ากลัว เช็คเลยหากไม่อยากมีส่วนทำร้ายชีวิตลูก

 

 

ขึ้นชื่อว่า “เด็ก” พวกเขาควรที่จะมีชีวิตที่สดใส มากกว่าคอยเก็บตัวอยู่อย่างเงียบ ๆ … คุณพ่อคุณแม่บางท่านอาจจะรู้สึกดีใจว่า ลูกฉันไม่ดื้อ เรียบร้อย สุขุม ไม่ค่อยสุงสิงอะไรกับใครเท่าไร … แต่หารู้ไม่ว่า อาการดังกล่าว อาจเป็นสัญญาณบอกบางอย่างว่า ลูกของเรากำลังมีบางอย่างที่ผิดปกติ ยกตัวอย่างเช่น โรคซึมเศร้า เป็นต้น

บางท่านอาจจะคิดสงสัยว่า เด็ก จะเป็นโรคนี้ได้อย่างไร … คำตอบคือ ไม่ว่าจะเด็กหรือว่าผู้ใหญ่ หากมีเรื่องกระทบกระเทือนทางจิตใจบ่อยมากเข้า โรคนี้มาเยือนแน่นอนค่ะ และโรคนี้นี่ละค่ะ ที่กำลังเป็นที่เป็นห่วงกันเป็นอย่างมากในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กและวัยรุ่นไทย

ด้วยทีมงาน Amarin Baby and Kids ได้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคดังกล่าว จึงจะมาขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับโรคนี้ พร้อมสาเหตุที่คุณอาจนึกไม่ถึง และวิธีแก้มาฝากกันค่ะ

อ่านต่อเนื้อหาเพิ่มเติม >>

 

 

ทำความรู้จักกับ โรคซึมเศร้าในเด็ก

โรคซึมเศร้า (depression) เป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอารมณ์ซึมเศร้าอย่างรุนแรง โดยไม่มีสาเหตุอารมณ์ซึมเศร้า อาจเริ่มต้นจากน้อยๆ ไปหามาก ผู้ป่วยอาจมีอารมณ์ไม่แจ่มใส หดหู่ เศร้าหมอง มีทุกข์ จนถึงเบื่อหน่าย ท้อแท้ เบื่อชีวิต คิดว่าตนเองไร้ค่า คิดอยากตายและอาจจะฆ่าตัวตายได้

สามารถพบได้ตั้งแต่เด็กเล็ก ซึ่งโรคนี้เป็นความผิดปกติทางจิตเวชชนิดหนึ่งที่มีภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าทุกคนจะมีอารมณ์เศร้า เหงา เสียใจ ที่เปลี่ยนแปลงได้นั้น แต่อารมณ์ที่เศร้าผิดปกติ รุนแรงจะกลายเป็นโรคซึมเศร้าโดยปริยาย โรคที่ว่านี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ปัจจัยด้วยกันดังนี้

 สาเหตุของโรคนั้น เกิดจาก

  1. เกิดจากภาวะกดดันหรือความเครียดนำมาก่อน และไม่สามารถปรับตัวได้ แม้ว่าปัญหาจะหมดไปแล้ว หรือเป็นปัญหาต่อเนื่อง และไม่สามารถปรับตัวได้
  2. มีภาวะการสูญเสีย ไม่ว่าจะเป็นการจากไปของพ่อหรือแม่ หรือพ่อแม่แยกทางกัน เป็นต้น
  3. บุคลิกภาพเดิมที่มักมีแนวคิดทำให้ตนเองซึมเศร้า เช่น มองตนเองในแง่ลบ มองโลกในแง่ร้าย เห็นแต่ข้อบกพร่องของตนเอง

หากเรามองย้อนกลับไปที่ข้อสอง แน่นอนค่ะว่า เป็นสาเหตุที่ใกล้ตัว ที่คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ คนมักที่จะมองข้าม และคิดว่า ที่ลูกต้องมาเป็นแบบนี้ไม่ได้เป็นเพราะฉัน! แต่เป็นเพราะคนรอบข้างต่างหาก! … อย่าลืมนะคะว่า คุณพ่อคุณแม่คือบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดและลูกรักมากที่สุด ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่เราได้กระทำหรือแสดงออกไปนั้น ล้วนแต่มีผลต่อจิตใจลูกด้วยกันทั้งสิ้น และถ้าหากคุณพ่อคุณแม่ท่านใดสงสัยว่า ตัวเราเองนั้น เป็นคนหยิบยื่นโรคดังกล่าวให้กับลูกจริงหรือไม่ ก็สามารถเช็คได้จาก 4 สัญญาดังต่อไปนี้ค่ะ

อ่านต่อ >> เนื้อหาเพิ่มเติม คลิก!


เครดิต: สสส.

 

4 สัญญาณบอกว่า คุณคือพ่อแม่รังแกฉัน!

คุณเป็นพ่อแม่ที่เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาที่ทำให้ลูกต้องเผชิญกับภาวะความเครียดหรือไม่ และเมื่อลูกประสบปัญหาแล้ว พ่อแม่เข้าใจหรือไม่ และจัดการปัญหานั้นอย่างไร มาเช็ก 4 สัญญาณที่ว่านี้กันค่ะ

  1. ไม่เคยสอนให้ลูกรู้จักกับความผิดหวัง หากคุณพ่อคุณแม่ไม่เคยสอนให้ลูกได้รู้จักกับความผิดหวัง มอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับลูก วันนึงเมื่อเขาโตขึ้นมา แล้วพบกับสิ่งนั้น คุณพ่อคุณแม่คิดว่า เขาจะดำเนินชีวิตต่อไปในลักษณะไหน แน่นอนค่ะว่า ลูกอาจจะไม่สามารถลุกขึ้นยืนหยัดและเริ่มต้นใหม่ได้เลย ดังนั้น การเสริมภูมิต้านทานนี้ให้กับลูกตั้งแต่ยังเล็กนั้น จะทำให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิตรอบด้านเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังสอนให้ลูกรู้จักยอมรับสิ่งต่าง ๆ อย่างมีเหตุและผลได้อีกด้วย
  2. ไม่เคยคิดที่จะให้กำลังใจกับลูก ทุกคนแม้แต่ตัวของเราเองอยู่ได้ด้วยกำลังใจ เพราะสิ่งนี้จะสามารถช่วยทำให้เราเข้มแข็ง และฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาได้ ดังนั้น ไม่ว่าลูกจะอายุเท่าไร ลูกจะทำกิจกรรมอะไรที่ไหน สิ่งหนึ่งเลยที่ลูกต้องการก็คือ กำลังใจจากคนเป็นพ่อเป็นแม่ … ดังนั้น ทำเถอะค่ะ! เพราะการกระทำนี้จะช่วยสนับสนุนคุณค่าทางจิตใจของลูกให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
  3. ไม่เคยให้ลูกลำบาก ทุกอย่างกว่าที่จะได้มาล้วนแต่ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ทั้งดีและไม่ดี และแน่นอนสิ่งนั้นหมายถึงความยากลำบากด้วย ดังนั้น การที่คุณพ่อคุณแม่ปล่อยให้ลูกได้ทุกอย่างง่ายเกินไป ใช้ชีวิตอย่างสบาย วันนึงหากลูกต้องมาเจอกับอุปสรรคละก็ ลูกอาจจะรู้สึกท้อแท้ และสิ้นหวัง เพราะชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขาเคยเจอมาก็เป็นได้
  4. ไม่เคยรู้จักยืดหยุ่น คุณพ่อคุณแม่บางคน เข้มงวดกับลูกมากเกินไป ขีดเส้นให้ลูกเดินตามที่ตัวเองต้องการ โดยที่ไม่เคยถามความสมัครใจของลูกเลยว่า เป็นสิ่งที่ลูกต้องการและชอบที่จะทำหรือไม่ … การบังคับให้ลูกทำทุกอย่างโดยที่ไม่สนใจความคิดเห็นของลูกเลย ก็อาจส่งผลทำให้ลูกกลายเป็นเด็กไร้ชีวิตจิตใจ และดำเนินชีวิตราวกับหุ่นยนต์ที่มีคุณพ่อคุณแม่คอยสั่งให้เดินก็เป็นได้นะคะ

สี่ข้อตามที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น หากอ่านอย่างผิวเผิน ก็อาจจะรู้สึกว่า ไม่ค่อยน่ากังวลหรือเกี่ยวข้องเสียเท่าไร กลับกันสิ่งที่ได้กล่าวไปทั้งหมดนี้นั้น หากคิดให้ดี ล้วนแต่มีผลกระทบต่อสภาพทางจิตใจของลูกด้วยกันทั้งสิ้น

เครดิต: MGR Online

อ่านต่อเนื้อหาอื่นที่น่าสนใจ:

 

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids