AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

กุญแจซอล ท้อง-หนีออกจากบ้าน เพราะ “การเลี้ยงดู” หรือ “ถูกบงการ”

จากข่าวดังที่มีคนเห็นนางเอกสาวช่อง 7 กุญแจซอล ท้อง ใกล้คลอด ก็มีกระแสวิจารณ์ว่าเป็นผลของการเลี้ยงดูแบบ “ไข่ในหิน” ซึ่งน้องสาวออกมาเผยครอบครัวไม่เคยเลี้ยงแบบบังคับ ด้านจิตแพทย์ชี้ การเลี้ยงดูย่อมส่งผลอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่เกิดปัญหา ซึ่งไม่รู้จะจบอย่างไร โดยนางเอกสาว กุญแจซอล ป่านทอทอง บุญทอง ทายาทนักแสดงรุ่นใหญ่ คุณนึกคิด บุญทอง กับเหตุลูกสาวหนีออกจากบ้านไปกับแฟนคนแรก “นาวาอากาศโท ฌณัฏฐ์ เลิศพัฒนาไทย” แฟนหนุ่มดีกรีกัปตันสายการบินไทยสมายล์ ตั้งแต่เมื่อ 8 เดือนที่แล้ว ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็พยายามออกตามหา แต่ติดต่อลูกสาวไม่ได้ สร้างความทุกข์ระทมและความเครียดให้ครอบครัว จนกระทบพ่อป่วยโรคหัวใจและแม่หัวใจเต้นผิดจังหวะ

กุญแจซอล ท้องหนีออกจากบ้าน เพราะ “การเลี้ยงดู” หรือ “ถูกบงการ”

โดยคุณนึกคิด ผู้เป็นพ่อของดาราสาวกุญแจซอล ได้เปิดเผยว่า

“มันไม่ใช่ครับ มันไม่ใช่เพราะการดูแล” ไม่ได้เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูของครอบครัวแบบประคบประหงมเกินไป แต่น่าจะเป็นเพราะ “ความหลง” ในรักแรก กับการ “ถูกบงการ” จากฝ่ายชายมากกว่า

ทั้งยังกล่าวอีกว่า “นี่ขนาดดูแลนะ ถ้าคุณลองเลี้ยงลูกปล่อยๆ สิ เขาจะไม่ไปท้องไม่มีพ่อ อย่างที่มีข่าวกันเลย..หรือยังไง มันเป็นดวงของเขาทั้ง 2 คน เป็นดวงของครอบครัวผม ก็พยายามบอกลูกตลอดว่า ให้ดูดีๆ เพราะคนที่จะมาเป็น “พ่อที่ดีของลูก” ไม่ได้หาง่าย แต่ผมเข้าใจ เพราะเป็นรักครั้งแรกของลูกสาว อาจจะมีความหลงเข้ามาปนอยู่ด้วย ซึ่งถ้าถามว่าในความรู้สึกของผม ณ ตอนนี้เป็นยังไง ผมยังช็อกและยังงงอยู่ ไม่รู้ว่าทำไมเรื่องอย่างนี้ถึงเกิดกับครอบครัวเรา แค่นี้เราก็เจ็บปวดมากพอแล้ว

เรื่องที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดสำหรับคนเป็นพ่อ

ไม่ใช่แค่ลูกสาวหนีหายไปจากบ้านพร้อมผู้ชาย เป็นเวลา 8 เดือน แต่เพราะลูกสาวคนนั้น แอบตั้งท้องโดยที่ไม่เคยปริปากบอกครอบครัวเลย แม้กระทั่งตอนที่ฝ่ายชายเข้าไปหาครอบครัว เพื่อจัดงานหมั้นหมายและแต่งงานตั้งแต่ช่วงต้นปี ซึ่งทางครอบครัวฝ่ายหญิงจะไม่ได้คัดค้าน เพียงแต่ขอรอให้จัดงานในเดือน พ.ค.ปีนี้ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะรอไม่ไหว อาจเพราะแอบท้องกันอย่างลับๆ ก่อนหน้านั้นแล้ว

⇒ Must read : พ่อแม่รังแกฉัน ตามใจลูกจนลูกกลายเป็นคนใจร้าย

“ตอนแรกมีคนพูดลือกันไปมากมาย แต่เราก็ไม่รู้จะพูดยังไง ซึ่งพอเราเห็นรูปของลูกออกมา เราถึงเข้าใจ เพราะเราก็ไม่ได้เจอหน้าลูกมา 8 เดือนแล้ว ในช่วงแรกที่เขาออกจากบ้านไป เราเป็นห่วงเขาสารพัด แต่พอรู้ว่าเขาปลอดภัยดี ก็รู้สึกว่าดีใจแล้ว ก็รอให้เขาออกมาพูดเองดีกว่าครับ ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เพราะจุกไปหมดแล้ว

อย่าว่าแต่อะไรเลย ขนาดตอนน้องไปประกวดบ้าน AF (ซีซัน 6) ใจเรายังแทบสลาย เพราะซอลไม่เคยจากบ้านไปไหนเลย ขนาดแค่ 3-4 เดือนเองนะ อันนี้ 8 เดือน คุณลองคิดสภาพ คนเป็นโรคหัวใจสิ แล้วแม่เองก็เป็นไมเกรนด้วย

ผมภาวนาให้ชีวิตครอบครัวของเขาประสบความสำเร็จ และอยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง เราเลี้ยงลูก เราเลี้ยงได้แต่ตัวจริงๆ ถ้าวันหนึ่งเขาพาหลานมาไหว้ขอขมา ผมยังไม่รู้เลย ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน”

อ่านต่อ >> ครอบครัว กุญแจซอล เผยลูกเป็นแบบนี้เพราะ “ถูกบงการ” คลิกหน้า 2

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

โดยคุณนึกคิด ยังได้กล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า..

ฝ่ายชายทำตัวไม่เหมาะสม อายุก็ปาเข้าไป 38 ปีแล้ว แต่กลับไม่ให้เกียรติลูกสาวในตอนมาสู่ขอ แถมยังมีพฤติกรรมชอบบงการอีกด้วย คือชอบสั่งห้ามให้รับงาน แถมล่าสุด ยังพาไปยกเลิกสัญญากับทางช่อง 7 เรียบร้อยแล้วด้วย

ซึ่งตรงกับความคิดของ แม่มุก-มุกดา บุญทอง ที่พูดถึงเรื่องพฤติกรรมการ “บงการ” ของฝ่ายชายเอาไว้อย่างชัดเจน เพราะตลอดเวลา 8 เดือนที่ลูกหายไปอยู่กับฝ่ายชาย ไม่รับโทรศัพท์ ไม่ตอบไลน์ครอบครัว คุณแม่เคยให้คนที่ติดต่อได้ฝากไปคุยกับกุญแจซอลให้กลับมาบ้าน แต่คำตอบที่ได้ที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเจ็บปวดที่สุดคือ “ต้องปรึกษาพี่นัทก่อน”

ลูกใจแตก เพราะการเลี้ยงดูแบบประคบประหงมเกินไป จริงหรือ?

“การที่คนคนหนึ่งจะเติบโตเป็นยังไง มันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่เรื่องการปลูกฝังอย่างเดียว” รศ.นพ.ศิริ ไชย หงษ์สงวนศรี สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้สัมภษณ์ผ่านทางโทรศัพท์กับทางว่าผู้จัดการ Live ว่า ปัญหาใดๆ ที่เกิดจากการตัดสินใจของคนคนหนึ่ง ไม่ควรโทษเรื่องการเลี้ยงดูเพียงอย่างเดียว แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีส่วนไม่น้อยเหมือนกัน

ผลเสียของการเลี้ยงลูกแบบประคบประหงม

ผลกระทบของการเลี้ยงลูกแบบนี้มีหลายทาง คือ ถ้าประคบประหงมแบบช่วยเหลือเขาเยอะ ทำอะไรให้ทุกอย่าง พอโตมา เขาก็จะขาดทักษะหลายๆ อย่างในเรื่องการช่วยเหลือตัวเอง

บางครั้งการที่ดูแลเลี้ยงดูเด็กมาแบบ “สมบูรณ์แบบ” เกินไป คือแทบจะไม่ปล่อยให้เขาได้เจอกับปัญหาอะไรเลย โตขึ้นเขาก็จะเป็นคนที่แก้ปัญหาอะไรไม่ค่อยเป็น ตัดสินใจอะไรไม่ค่อยได้ดีนัก หรือตัดสินใจผิดพลาดเพราะไม่ค่อยได้เจอปัญหา

ส่วนที่ทำให้บางคนทำผิดแล้ว ไม่กล้าบอกความจริง มันก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า บางเรื่องมันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอก ยิ่งถ้าพ่อแม่ไม่ได้ฝึกทักษะให้เขาจัดการเรื่องต่างๆ ได้เหมาะสมมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วด้วยยิ่งยากไปใหญ่

ส่วนใหญ่ถ้าลูกไม่พูดความจริง ไม่ยอมรับผิดกับพ่อแม่ จะเป็นเพราะเขาเคยบอกข้อผิดพลาดไปแล้ว แล้วผู้ปกครองแทนที่จะช่วยประคับประคอง แต่กลับตำหนิมากกว่าเดิม หรือทำอะไรไม่ตรงกับความคิดพ่อแม่ แล้วเด็กจะถูกสั่งสอนให้ทำแบบนี้ๆ ก็จะทำให้เด็กรู้สึกว่า บอกไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร

การจะทำให้ลูกๆ กล้าบอกความผิดพลาดกับพ่อแม่ก็คือ ทำยังไงก็ได้ให้เขารู้สึกว่า บอกแล้วพ่อแม่รับฟัง หรือบอกแล้วจะไม่ถูกซ้ำเติม อยู่เป็นเพื่อน และพร้อมที่จะช่วยแก้ไขปัญหา และที่สำคัญคือต้องปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ 3-4 ขวบก็สอนได้แล้ว หลายๆ อย่างมันขึ้นอยู่กับเรื่องความสัมพันธ์ว่า เราเข้าใจจิตใจลูก หรือมีเวลาพูดคุยกันแค่ไหน

⇒ Must read : เลี้ยงลูกแบบโอเว่อร์ ระวังลูกด้อยพัฒนา เสียสุขภาพจิต!
⇒ Must read : สปอยล์ลูก มากไป ระวังลูกนิสัยเสีย!

ประคบประหงมแค่ไหน ถึงจะไม่เรียกว่าเกินไป

คุณพ่อคุณแม่ก็ควรดูแลเยอะๆ แค่ช่วงปีแรกครับ พอเขาโตถึงวัย 20 ขึ้นไป ก็ไม่ควรประคบประหงมอะไรมากแล้ว เพราะถือว่าเป็นผู้ใหญ่พอสมควรแล้ว ควรจะช่วยเหลือตัวเองเดินทางไป-กลับเองได้ตั้งแต่ช่วง ม.ต้นหรือ ม.ปลาย ให้ไปขนส่งสาธารณะได้เองบ้างตามความเหมาะสม

ถ้าเอาแนวทางจากคุณหมอ มาวิเคราะห์กับแนวทางการเลี้ยงลูกของครอบครัว “บุญทอง” แล้ว คนที่มองเพียงผิวเผินอาจจะคิดว่า ครอบครัวนี้เลี้ยงลูกแบบ “ไข่ในหิน” อย่างที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์จริง เพราะคนส่วนใหญ่มักจะเห็นภาพคุณพ่อคุณแม่ ไปรับไปส่งลูกสาวตลอดเวลา แม้กระทั่งช่วงลูกประกวดเวที AF ยังตามไปเฝ้าได้เป็นเดือนๆ

ความจริงในการเลี้ยงดูของครอบครัวนี้นั้นเป็นอย่างไร จะมีผลให้ดาราสาวกุญแจซอลเลือกตัดสินใจผิดในวันนี้หรือไม่นั้น เราคงไม่อาจไปตัดสินแทนได้ แต่อย่างไรก็ดีหลังเรื่องราวนี้กลายเป็นประเด็นร้อน ด้านน้องสาวของกุญแจซอล “แจกัน-ปอถักทอง บุญทอง” ก็ได้ออกมาพูดถึงการเลี้ยงดูของครอบครัวเอาไว้ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอ ดังนี้…

ซึ่งงานนี้บรรดาแฟนคลับและคนใกล้ชิด ต่างเข้ามาคอมเมนต์ให้กำลังใจกันอย่างมากมายทั้งสองฝ่าย และอยากให้เรื่องทั้งหมดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี!

อ่านต่อ >> “วิธีแก้ไขเมื่อลูกกลายเป็นเด็กใจแตก” คลิกหน้า 3


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก FB Jaegun Boonthong

ข่าวโดย ผู้จัดการ Live : mgronline.com

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

เด็กบางคนเกิดมาในครอบครัวที่ดูจะพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่างซึ่งน่าจะทำให้เขามีพฤติกรรมที่ดี แต่อาจกลายเป็นว่าเขาอาจมีพฤติกรรมที่ไม่ดีได้ หากถูกเร้าด้วยปัจจัยภายนอกที่ไม่ดี หรือแม้แต่ปัจจัยภายใน เช่น ครอบครัว ก็อาจมีผลต่อพฤติกรรมในทางลบของลูกได้เช่นกัน

และเมื่อใดก็ตามที่ลูกเรามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในทางไม่ดีหรือใจแตกไปแล้ว เช่น หนีออกจากบ้าน เข้าแต่ร้านเกม ไม่เรียนหนังสือ มั่วสุมการพนัน ติดสิ่งเสพติด ประพฤติผิดทางเพศ ก็ยากเหลือเกินที่จะกู้ให้ลูกกลับมาเดินอยู่ในทางที่ถูกต้องได้

แต่อย่างไรก็ตามไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ทุกคนที่จะต้องนำพาลูกกลับมามีชีวิตที่สดใสและสวยงามอีกครั้ง และวิธีที่จะแก้ปัญหาลูกใจแตกให้ได้ผลต้องเริ่มจากการหาสาเหตุของปัญหาเสียก่อนจึงค่อยแก้ไข ซึ่งปัญหาที่ทำให้ลูกกลายเป็นเด็กใจแตกอาจเกิดจากสาเหตุ ดังนี้

1. ครอบครัว

เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของลูกมากที่สุด คุณพ่อคุณแม่ต้องพิจารณาจากตัวเองเป็นสำคัญก่อนว่าครอบครัวของเราหรือการเลี้ยงดูของเรามีความบกพร่องหรือผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ หากพิจารณาแล้วว่าเราเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งมีการกระทำที่ดี มีความรับผิดชอบที่ดี รักและเอาใจใส่ ดูแลและทะนุถนอมลูกและครอบครัวเป็นอย่างดีแล้ว ปัญหาก็ไม่น่าจะเกิดจากครอบครัว แต่ในบางกรณีอาจเป็นไปได้ว่าลูกไม่ดีเท่าพ่อแม่ ก็อาจเกิดความกดดัน เป็นปม บางคนโดนล้อว่าเป็นเด็กถูกเก็บมาเลี้ยงเพราะไม่ดีหรือไม่เก่งเหมือนพ่อแม่ ก็ทำให้เป็นปัญหาได้เช่นกัน

2. สิ่งแวดล้อม

ไม่ว่าจะเป็นละแวกชุมชนที่อาศัย สภาพสังคมที่เสื่อมทรามหรือผู้คนขาดคุณธรรม ล้วนเป็นปัจจัยที่สนับสนุนให้ลูกใจแตกได้ทั้งสิ้น เด็กบางคนอยู่ในครอบครัวดี แต่อยู่ในละแวกชุมชนที่มีแต่อบายมุข เมื่อเด็กพบเห็นสิ่งเหล่านี้ทุกวี่วันก็อาจอยากริลอง หรืออาจซึมซับพฤติกรรมเหล่านี้ได้

3. เพื่อน

หากลูกคบหากับเพื่อนที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดี เช่น คบหากับเพื่อนที่ติดยา ติดเหล้า ติดการพนัน แก๊งค์ล่าแต้ม แก๊งขี้ขโมย แก๊งค์ชอบวิวาทยกพวกตีกัน ก็อาจส่งผลให้ลูกกลายเป็นเช่นนั้นเช่นกัน เพราะสำหรับลูกตั้งแต่วัยเริ่มรุ่นเป็นต้นไป เพื่อนถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดเพราะเป็นวัยที่ต้องการการยอมรับจากผู้อื่นและต้องการความท้าทายเพื่อพิสูจน์ความเจ๋งของตนเอง ดังนั้นก็จะทำตามเพื่อนเพื่อให้เป็นที่ยอมรับจากเพื่อนนั่นเอง

4. เทคโนโลยีและสื่อต่างๆ

เป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับคนเรามากขึ้นทุกวัน เด็กแทบทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ เล่นอินเทอร์เนตเป็นทั้งโปรแกรมแชท เกมออนไลน์และเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นสื่อที่อาจพาลูกหลงไปในทางที่ผิดได้ บางคนแชทหาแฟน ดูเว็บไซต์ลามก เล่นเกมรุนแรงทั้งวันทั้งคืน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีผลต่อพฤติกรรมของลูกในทางลบทั้งสิ้น คุณพ่อคุณแม่จึงต้องคอยดูแลสอดส่องให้ลูกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์เพื่อป้องกันพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ของลูก

อ่านต่อ >> “วิธีแก้ไขพฤติกรรมของลูกให้กลับมาเป็นเด็กดีดังเดิม” คลิกหน้า 4

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

วิธีแก้ไขพฤติกรรมของลูกให้กลับมาเป็นเด็กดีดังเดิม

และเมื่อคุณพ่อคุณแม่ทราบแล้วว่าสาเหตุที่ทำให้ลูกใจแตกคืออะไร ต่อไปคือการแก้ไขพฤติกรรมของลูกให้กลับมาเป็นเด็กที่ดีตามเดิม ซึ่งมีวิธีและขั้นตอน ดังนี้

1. ตั้งสติ ใจเย็น ๆ

คุณพ่อคุณแม่บางคนเมื่อรู้ว่าลูกกลายเป็นเด็กใจแตกทำตัวไม่ดี ก็โวยวาย ดุด่า อาละวาดลูกสารพัด หารู้ไม่ว่านี่ยิ่งเป็นการโหมไฟให้รุนแรงขึ้นอีก ดังนั้น สิ่งแรกที่คุณพ่อคุณแม่ควรทำคือตั้งสติ รับรู้ปัญหาด้วยใจสงบ และค่อยๆคิดหาทางออก โดยย้ำกับตนเองว่าปัญหาทุกปัญหาแก้ไขได้ถ้าเรามีสติ เพราะสติทำให้เกิดปัญญา และปัญญาคือแสงสว่างของการแก้ปัญหา

2. ให้ลูกทบทวนและยอมรับในความผิดของตนเอง

แม้อาจจะดูยากสำหรับเด็กบางคนที่จะยอมรับความผิด แต่การจะแก้ปัญหาได้คือการยอมรับปัญหานั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องให้ลูกทบทวนการกระทำของตนเองและพูดถึงสิ่งที่ตนทำไม่ดีว่ามีอะไรบ้าง โดยคุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องชี้นำหรือบอกลักษณะความผิดของลูก เพื่อลูกจะได้รู้ถึงความผิดของตนเองอย่างลึกซึ้ง เว้นแต่ว่าลูกยังเล็กยังไม่เข้าใจความผิดของตนคุณพ่อคุณแม่ก็สามารถบอกถึงปัญหาของลูกได้

3. แก้ไขทีละปัญหา

แม้ลูกจะทำไม่ดีหลายอย่างหรือใจแตกหลายเรื่อง แต่การแก้ปัญหาที่ดีควรทำทีละเรื่องไป อย่าแก้ปัญหาทุกอย่างในคราวเดียวกันเพราะยากที่จะได้ผล เพราะลูกจะรู้สึกกดดัน ท้อแท้ เหมือนคนสิ้นท่า เพราะอะไรๆก็เป็นความผิดไปหมด การแก้ไขปัญหาทีละอย่างจึงทำให้ผ่อนคลายจากความกดดันได้มากกว่าและลูกจะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก เมื่อแก้ไขปัญหาหนึ่งได้แล้วค่อยแก้ไขปัญหาต่อไป และทางที่ดีควรจัดลำดับความสำคัญของปัญหาด้วยว่าปัญหาใดเป็นปัญหาใหญ่หรือส่งผลเสียต่อลูกมากกว่าก็ควรแก้ปัญหานั้นก่อน เช่น ลูกติดยาและมีพฤติกรรมรุนแรงชอบทำลายสิ่งของโดยติดมาจากเกม ก็ควรแก้ปัญหาลูกติดยาก่อนเพราะมีผลเสียแก่สุขภาพของลูกมากกว่า

4. ร่วมด้วยช่วยกันด้วยใจมุ่งมั่น

คุณพ่อคุณแม่และลูก ต้องร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหา อย่าปล่อยให้เป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง พ่อแม่บางคนบอกว่า “แกสร้าง(ปัญหา)เอง แกก็แก้(ปัญหา)เอาเอง” หรือ “เธอเป็นแม่มัน เธอก็ช่วยมันแก้ปัญหาก็แล้วกัน ฉันไม่เกี่ยว” แบบนี้มีแต่จะทำให้ปัญหาลุกลามมากขึ้นไปอีก นอกจากนี้ หากมีเหตุต้องสะดุดกลางทาง เช่น ท้อแท้ว่าใช้เวลาตั้งนานแล้วทำไมไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น ก็ต้องเป็นแรงหนุนใจให้แก่กันและกัน อย่าทิ้งปัญหากลางทางแต่ให้ร่วมมือกัน พูดคุย ปรึกษา ปรับเปลี่ยนวิธีการ แล้วจะพบความสำเร็จแน่นอน

5. ชื่นชมยินดีในความสำเร็จ

เมื่อแก้ไขปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้แล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องแสดงความเมตตาแก่ลูก โดยการชมเชย ชื่นชมและให้กำลังใจในความเข้มแข็ง พยายามและอดทนแก้ปัญหาของลูก เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะน่าชื่นใจไปกว่าลูกที่หลงหายไปในทางที่ผิดได้กลับคืนมาเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่อีกครั้งหนึ่ง

อย่างไรก็ดี ทางทีมงาน Amarin Baby & Kids ก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่ไม่ว่าจะพบเจอปัญหาอะไรในการเลี้ยงดูลูก อย่าท้อแท้ อย่าสิ้นหวัง อย่าโทษใครหรือสิ่งใด แต่ขอให้มีสติในการคิดแก้ไขปัญหา และที่สำคัญที่สุดคือให้ความรักกับลูกมากๆ ให้ความเข้าใจ ให้กำลังใจและคอยระแวดระวังการใช้ชีวิตของลูกให้อยู่ในทางที่ปลอดภัยเพื่อลูกของเราจะได้ไม่ต้องกลายเป็นเด็กใจแตกเข้าสักวัน

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจาก : www.manager.co.th