ย้ำชัด ๆ กันอีกครั้ง! กับโครงการดี ๆ ที่มีไว้เพื่อรองรับการเจ็บป่วยแบบ ฉุกเฉิน รักษาฟรี ทุกโรงพยาบาล
คุณพ่อคุณแม่และบางครอบครัวอาจจะยังไม่ทราบว่า กระทรวงสาธารณสุขเขาได้เปิดโครงการดี ๆ นำร่องเพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกคน ทั้งยังเป็นการดำเนินงานตามนโยบายที่ทางรัฐบาลได้จัดไว้นั่นคือ “ฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่” หรือเรียกอีกอย่างว่า ยูเสป (UCEP)
โครงการดังกล่าวจะเป็นอย่างไรนั้น คำว่า การเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ต้องมีอาการแบบไหน ถึงสามารถรักษาได้ฟรี ไปอ่านต่อรายละเอียดนี้พร้อม ๆ กันเลยค่ะ
อ่านต่อเนื้อหาเพิ่มเติม >>
เจ็บป่วย ฉุกเฉิน รักษาฟรี ทุกโรงพยาบาลแน่นอน!
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล “ฉุกเฉินวิกฤติ มีสิทธิทุกที่ หรือ UCEP” ว่า โครงการนี้ช่วยให้ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ สามารถเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทั้งรัฐและเอกชน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยชีวิตโดยเร็วที่สุดภายใน 72 ชั่วโมง
ซึ่งจากผลการดำเงินการที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 1 เม.ย.2560-30 กันยายน 2560 ที่ผ่านมานั้น มีจำนวนผู้ป่วยขอใช้สิทธิ์ 15,243 ราย เป็นผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์ 6,757 ราย หรือประมาณร้อยละ 44 ในจำนวนนี้อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 3,117 ราย ส่วนใหญ่เป็นสิทธิ์หลักประกันสุขภาพ
โดยนายแพทย์ปิยะสกล ได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงเริ่มโครงการพบว่า ประชาชนและสถานบริการยังมีปัญหาเรื่องเกณฑ์การเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติที่สามารถใช้สิทธิ์นี้ ซึ่งหากเจ็บป่วยฉุกเฉินนั้น แนะนำให้แจ้งสายด่วนที่เบอร์ 1669 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ทางด้านการแพทย์ฉุกเฉิน เป็นผู้ประเมิณในเบื้องต้น และจะได้ส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดได้ทัน
กฎเกณฑ์การเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติ ที่สามารถรักษาฟรีได้ มีอะไรบ้าง >>
อาการฉุกเฉินวิกฤติที่สามารถเข้ารักษารักษาได้ฟรี
สำหรับอาการฉุกเฉินวิกฤติที่ว่านี้ ได้แก่
- หัวใจหยุดเต้น ไม่หายใจ ไม่ตอบสนองต่อการเรียกหรือกระตุ้ม ไม่มีชีพจร จำเป็นต้องได้รับการกู้ชีกโดยทันที
- การรับรู้ สติเปลี่ยนไป บอกเวลา สถานที่ คนที่คุ้นเคยผิดอย่างเฉียบพลัน
- ระบบหายใจไม่สามารถหายใจได้ตามปกติ หายใจเร็ว แรง และลึก หายใจมีเสียงดังผิดปกติ พูดได้แค่สั้น ๆ หรือร้องไม่ออก ออกเสียงไม่ได้ สำลัก อุดตันทางเดินหายใจกับมีอาการเขียวคล้ำ
- ระบบไหลเวียนเลือดวิกฤติอย่างน้อย 2 ข้อ คือ ตัวเย็นและซีด เหงื่อแตกจนท่วมตัว หมดสติชั่ววูบ หรือวูบเมื่อลุกขึ้นยืน เป็นต้น
- อวัยวะฉีกขาด เสียเลือดมาก เสี่ยงต่อการพิการ
- อาการอื่น ๆ ที่มีภาวะเสี่ยงต่อชีวิตสูง เช่น เจ็บหน้าอกรุนแรง แขน-ขาอ่อนแรงทันที หรือกำลังชักขณะแรกรับที่จุดคัดแยก
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่คะ หากมีการเจ็บป่วยฉุกเฉินขึ้น ขอให้แจ้งไปยังสายด่วนที่เบอร์ 1669 เพื่อให้เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ฉุกเฉินนั้นเป็นผู้ประเมิณ และจะได้ส่งไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด แต่ย้ำนะคะว่า จะต้องเป็นการเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติตามที่ได้กล่าวมานี้เท่านั้น
อ่านต่อคำถามที่พบบ่อย >>
เครดิต: สสส.
คำถามที่พบได้บ่อย
หลังจาก 72 ชั่วโมง แต่ยังรักษาไม่หาย ใครจะเป็นคนจ่าย?
คำตอบ: หลังจากทำการรักษาครบ 72 ชั่วโมงแต่พบว่าผู้ป่วยยังต้องทำการรักษาต่อจากนี้ ก็จะเป็นกระบวนการขั้นตอนส่งต่อผู้ป่วยไปรับการรักษาต่อในโรงพยาบาลคู่สัญญา กับกองทุนที่ผู้ป่วยคนนั้นมีสิทธ์ในการรักษา โดยเริ่มจากสามกองทุนก่อน นั่นก็คือ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง หรือพูดง่าย ๆ ก็คือจะมีการเช็คสิทธิ์ว่าผู้ป่วยมีสิทธิ์รักษาพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลอะไร หลังจากนั้นก็จะถูกส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลนั้นค่ะ
แล้วถ้าป่วยฉุกเฉิน แต่พอไปถึงโรงพยาบาล โรงพยาบาลกลับบอกว่าไม่เข้าข่ายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤตล่ะ?
เรื่องนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวลไปเลยค่ะ เพราะหากมีข้อโต้แย้ง ในกรณีการตัดสินการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต แพทย์ประจำศูนย์ประสานงานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จะร่วมกับวิทยาลัยแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทยจะประเมินภาวะฉุกเฉินของผู้ป่วยภายใน 15 นาที ซึ่งคำวินิจฉัยของศูนย์ประสานงานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตของสพฉ. ให้ถือเป็นที่สุด ฉะนั้นโรงพยาบาลจะอ้างไม่ได้ ว่าผู้ป่วยไม่เข้าข่ายผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต หรือหากเกิดปัญหาค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากคุณพ่อคุณแม่มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อศูนย์ประสานงานคุ้มครองสิทธิผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตของ สพฉ.ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ที่หมายเลข 028721669 นะคะ
เครดิต: JobsDB
อ่านต่อเนื้อหาอื่นที่น่าสนใจ:
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่