เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา แม่น้องเล็กได้มีโอกาสได้ไปร่วมฟังผลงานวิจัย #Thai Mom Top of Mind ที่สุดของแม่ไทย โดยมีทีมผู้บริหาร Amarin Baby & Kids ตัวแทนจากบริษัท วิดีโอ รีเสิร์ช อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และผู้เชี่ยวชาญจิตวิทยาเด็กและวัยรุ่นเข้าร่วม
ที่สุดของแม่ไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก
เริ่มด้วยคุณระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของ Amarin Baby & Kids ว่าเราคืออันดับ 1 ของ Mom’s Community ด้วยยอดจำนวนการเข้าถึงกว่า 21,000,000 คน จากนิตยสาร Amarin Baby & Kids สื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้งในเว็บไซต์ Facebook Fan page งานแฟร์เพื่อแม่และลูก และจากสำนักพิมพ์แพรวเพื่อนเด็ก รวมถึงเครือข่าย Mom’s club จากทั่วประเทศ
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “#Thai Moms Top of Mind” คลิกหน้า 2
หลังจากนั้น คุณน้ำทิพย์ เงินแย้ม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและกลยุทธ์ บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้ขึ้นมากล่าวถึงผลงานวิจัยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก แม่น้องเล็กจึงขอจับประเด็นสำคัญมาแบ่งปันคุณพ่อ คุณแม่ได้อ่านกันค่ะ
#Thai Moms Top of Mind
จากการสำรวจคุณแม่ 3,100 ราย ที่มีกำลังซื้อสูง โดยศึกษาตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ไปจนถึงคุณแม่ที่มีลูกวัย 6 ขวบ ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑล รวมถึงหัวเมืองใหญ่ในจังหวัดต่างๆ ด้วย 3 วิธีการ คือ วิธีการสัมภาษณ์แบบเผชิญหน้า (F2F Intercept) การทำแบบสอบถาม (Questionnaire) และการทำแบบสอบถามทางระบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ (CAWI) ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2560 ทำให้ได้ 6 หัวข้อ ที่สุดของแม่ไทย ได้แก่ ที่สุดของความกังวลเรื่องลูก ที่สุดของความคาดหวังต่อลูก ที่สุดของกิจกรรมที่อยากทำกับลูก ที่สุดของทักษะพิเศษของลูก ที่สุดของตัวช่วยที่มีอิทธิพลในการเลี้ยงลูก และที่สุดของสื่อที่มีอิทธิพลในการซื้อสินค้าของลูก
ซึ่งจากการสำรวจพบว่าคุณแม่ไทย เป็นสุดยอดคุณแม่ทุ่มทุน คุณแม่ที่มีลูก 0-3 ขวบ จะใช้จ่ายเงินเพื่อลูกอยู่ที่ 32% ของรายได้ครอบครัว และเมื่อมีลูกวัย 3-6 ขวบจะใช้จ่ายเงินเพื่อลูกเพิ่มขึ้นเป็น 51% ของรายได้ครอบครัว โดยค่าใช้จ่ายที่คุณแม่จะใช้จ่ายเพื่อลูก อันดับ 1 คือค่าอาหาร อันดับ 2 คือค่าของเล่น อันดับ 3 คือค่าศึกษาเล่าเรียนที่มีเพิ่มขึ้นตามช่วงวัยคือ เด็กวัย 0-3 ขวบจะมีค่าใช้จ่าย 9% และ 3-6 ขวบมีค่าใช้จ่าย 20% ของรายได้ครอบครัว
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “ที่สุดของความกังวล และความคาดหวังเรื่องลูก” คลิกหน้า 3
1.ที่สุดของความกังวลเรื่องลูก
จากการวิจัยพบว่าคุณแม่ไทย 97% เป็นคุณแม่ขี้กังวล เริ่มตั้งแต่คุณแม่ตั้งครรภ์ที่ให้ความสำคัญเรื่องการบำรุงครรภ์ ภาวะแทรกซ้อน ขั้นตอนการเลี้ยงลูก การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตามลำดับ เป็นที่น่าสนใจว่าคุณแม่ให้ความสนใจเรื่องกำหนดคลอดน้อยที่สุด และใช้กำหนดคลอดที่สะดวกแทน
เรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ พบว่าคุณแม่ก็ให้ความสำคัญ โดยจากการวิจัยพบว่า คุณแม่ตั้งครรภ์ตั้งเป้าหมายว่าจะให้นมลูกเป็นระยะเวลา 12 เดือนและมากกว่า คุณแม่ที่มีลูกวัย 0-3 ขวบ ตั้งเป้าหมายว่าจะให้นมลูกเป็นระยะเวลา 12 เดือน แต่ความเป็นจริงแล้วเมื่อสำรวจคุณแม่วัย 3-6 ขวบ พบว่าคุณแม่สามารถให้นมลูกน้อยได้เพียง 3-6 เดือนเท่านั้น เนื่องจากภารกิจที่คุณแม่ต้องกลับไปรับผิดชอบ
จากความกังวลของคุณแม่พบว่า คุณแม่ตั้งครรภ์กังวลเรื่องการกิน ได้แก่ การกินอาหารตามปกติ การกินอาหารเพื่อบำรุงครรภ์ และการกินยาหรือวิตามินเสริมต่างๆ เพื่อให้ลูกน้อยมีพัฒนาการตามวัยเมื่ออยู่ในท้อง และมีอวัยวะครบ 32 ประการ ส่วนคุณแม่ที่มีลูกวัย 0-3 ขวบ พบว่าจะมีความกังวลเรื่องการเลี้ยงลูกให้โตเป็นคนดี สำหรับคุณแม่วัย 3-6 ขวบ จะมีความกังวลว่าจะมีเวลาให้ลูกมากพอหรือไม่? ในการสอนให้ลูกช่วยเหลือตัวเองได้
2.ที่สุดของความคาดหวังต่อลูก
จากการวิจัยพบว่าคุณแม่ตั้งครรภ์คาดหวังให้ลูกมีความสามารถพิเศษ คุณแม่ที่มีลูก 0-3 ขวบ คาดหวังว่าลูกเติบโตขึ้นมาเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากเป็น และมีความสามารถพิเศษ ส่วนคุณแม่ที่มีลูก 3-6 ขวบ มีความคาดหวังว่าลูกจะสามารถแก้ไขปัญหาได้ดี เติบโตขึ้นมาเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากเป็น และมีความสามารถพิเศษ จะเห็นได้ว่าคุณแม่มีความคาดหวังในตัวลูกเพิ่มมากขึ้นตามช่วงอายุวัย และเป็นการคาดหวังแบบอิงความเป็นจริงมากขึ้น (Realistic expectations) เพื่อให้ลูกน้อยรับมือกับปัญหา พึ่งพาตัวเองได้ และมีความสุขในอนาคต
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “ที่สุดของกิจกรรม และทักษะพิเศษของลูก” คลิกหน้า 4
3.ที่สุดของกิจกรรมที่อยากทำกับลูก
จากการวิจัยพบ 3 สุดยอดกิจกรรมที่คุณแม่อยากทำกับลูก โดยพบว่าคุณแม่ที่มีลูกวัย 0-3 ขวบ อยากให้ลูกเรียนเสริมความรู้พัฒนาการต่างๆ พาลูกไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้ต่างๆ และอ่านหนังสือให้ลูกฟัง ส่วนคุณแม่ที่มีลูก 3-6 ขวบ อยากให้ลูกเรียนเสริมความรู้พัฒนาการต่างๆ พาลูกไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แหล่งเรียนรู้ต่างๆ และพาลูกไปเที่ยวต่างประเทศ เพื่อเปิดโลกกว้าง
4.ที่สุดของทักษะพิเศษของลูก
จากผลวิจัยพบว่า คุณแม่ให้ความสำคัญกับความสามารถพิเศษที่สอดคล้องไปกับทักษะพิเศษ ได้แก่
85% ให้ความสำคัญกับความสามารถพิเศษด้านภาษา หรือทักษะด้านการติดต่อสื่อสาร
56% ให้ความสำคัญกับความสามารถพิเศษด้านกีฬา หรือทักษะด้านการเข้าสังคม
45% ให้ความสำคัญกับความสามารถพิเศษด้านการแสดง หรือทักษะด้านความกล้าแสดงออก
42% ให้ความสำคัญกับ ความสามารถพิเศษด้านดนตรี หรือทักษะด้านการควบคุมอารมณ์
23% ให้ความสำคัญกับความสามารถพิเศษด้านคอมพิวเตอร์ หรือทักษะด้านการคิดอย่างเป็นระบบ
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ลูกน้อยสามารถนำความรู้ ความสามารถ และทักษะต่างๆ ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเอาตัวรอดในสังคม และรู้จักการคิดแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง
สำหรับเวลาคุณภาพที่คุณแม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับลูก เพื่อตอบโจทย์ทักษะพิเศษของลูกจากการวิจัยพบว่า วันธรรมดา คุณแม่ที่มีลูกวัย 0-3 ขวบ จะมีเวลาอยู่กับลูกเพียง 5.6 ชั่วโมงต่อวัน และให้ลูกอยู่กับคนอื่น 6.4 ชั่วโมงต่อวัน เพราะคุณแม่ต้องทำงาน โดยเมื่อคุณแม่อยู่กับลูกในวัยนี้จะใช้เวลาพูดคุยกับลูก เล่นกับลูก และอ่านนิทานกับลูก ส่วนคุณแม่ที่มีลูกวัย 3-6 ขวบ จะมีเวลาอยู่กับลูกน้อยลงเพียง 4.7 ชั่วโมงต่อวัน และให้ลูกอยู่กับคนอื่น 7.3 ชั่วโมงต่อวัน เพราะลูกเข้าสู่ช่วงวัยเรียน โดยเมื่อคุณแม่อยู่กับลูกในวัยนี้จะใช้เวลาดูทีวี หรือดูสื่อออนไลน์กับลูก สอนลูกทำการบ้าน และเล่นกับลูก ตามลำดับ สำหรับในวันหยุดพบว่าคุณแม่จะใช้เวลาอยู่กับลูกนอกบ้าน โดยคุณแม่ที่มีลูก 0-3 ขวบ จะพาลูกไปเที่ยวภายในประเทศ และรับประทานอาหารนอกบ้าน ส่วนคุณแม่ที่มีลูก 3-6 ขวบ จะพาลูกไปช็อปปิ้ง และเที่ยวสวนสนุก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “ที่สุดของตัวช่วย และสื่อที่มีอิทธิพลในการเลี้ยงลูก” คลิกหน้า 5
5.ที่สุดของตัวช่วยที่มีอิทธิพลในการเลี้ยงลูก
จากการวิจัยพบว่าบุคคลที่อาศัยอยู่ภายในครอบครัวเดียวกัน เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือคนที่ช่วยเลี้ยงลูกคือตัวช่วยที่มีอิทธิพลในการเลี้ยงลูกของคุณแม่มากที่สุด ในขณะที่ ดารา เซเลบ มีอิทธิพลน้อยที่สุด ดังนี้
85% สมาชิกในครอบครัวที่ช่วยเลี้ยงลูก
82% ผู้เชี่ยวชาญ และสื่อที่น่าเชื่อถือ
73% เพื่อนที่มีลูก
49% ครู พี่เลี้ยง สถานที่เลี้ยงเด็ก
22% ดารา เซเลบ
6.ที่สุดของสื่อที่มีอิทธิพลในการซื้อสินค้าของลูก
จากการวิจัยพบว่าคุณแม่ใช้สื่อหลากหลายในการตัดสินใจซื้อสินค้า เพื่อความมั่นใจว่าสินค้านั้นจะปลอดภัยกับลูกน้อย โดยสื่อที่คุณแม่ใช้ ได้แก่
97% สื่อโทรทัศน์ เอาไว้ดูละคร ข่าว เกมส์โชว์
78% สื่อออนไลน์ เอาไว้ดูข้อมูลแม่ลูก เพื่อเอนเตอร์เทน และเพื่อสุขภาพของตัวเองและทุกคนในครอบครัว
64% สื่อตามร้านขายของ และงานแฟร์แม่และเด็ก
33% สื่อนิตยสาร และหนังสือพ็อคเกตบุ๊ก
นอกจากนี้ยังพบว่าเนื้อหาในสื่อออนไลน์ที่คุณแม่สนใจ เพื่อเป็นตัวช่วยหนึ่งในการตัดสินใจซื้อสินค้า ได้แก่
1.รีวิวสินค้าประเภทประเภทเดียวกันแล้วนำมาเปรียบเทียบ เพื่อคัดสรรสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก
2.เนื้อหาเกี่ยวกับอุบัติเหตุ เหตุการณ์เฉพาะหน้า ที่ใกล้ตัวลูกน้อย เพื่อหาวิธีป้องกัน หรือปฐมพยาบาล
3.เนื้อหาเชิงจิตวิทยา หลักการ หรือตัวอย่างในการเลี้ยงลูกจากผู้ที่มีประสบการณ์จริง หรือผู้เชี่ยวชาญ
สำหรับการซื้อสินค้า พบว่าเมื่อคุณแม่เจอสินค้าแปลกหน้า คุณแม่จะไม่ขอเสี่ยง และไม่ซื้อถึง 93% เพราะไม่รู้จัก ไม่แน่ใจ และเมื่อคุณแม่หาข้อมูลสินค้านั้นแล้วผ่านสื่อต่างๆ จะเกิดการตัดสินใจซื้อทันทีถึง 81% ส่วนอีก 19% จะหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกครั้งก่อนกลับมาตัดสินใจซื้อ
สำหรับแม่น้องเล็กแล้ว การเลี้ยงลูก 1 คน มันไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่เขาอยู่ในท้อง แม่น้องเล็กก็เหมือนแม่ๆ ส่วนใหญ่ที่มีความกังวลเมื่อมีลูก อยากให้ลูกสมบูรณ์แข็งแรง เป็นเด็กดี และเติบโตขึ้นมาเป็นคนที่พึ่งพาตัวเองได้ รวมถึงรู้จักรับมือกับความผิดหวัง ถึงแม้ว่าสังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาไปอย่างไร หรือสื่อต่างๆ จะมีส่วนในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการเลี้ยงลูกมากแค่ไหน สิ่งหนึ่งที่แม่น้องเล็กเชื่อว่า คุณแม่ทุกคนมีเหมือนกันคือ “แม่คือคนที่รัก และทุ่มเทให้ลูกได้มากที่สุด และยอมรับลูกได้เสมอไม่ว่าลูกจะเติบโตขึ้นมาเป็นคนเช่นไร”
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
Save