ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a หรือ H1N1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 เป็นโรคที่เริ่มพบเมื่อปี พ.ศ.2552 ที่เม็กซิโก และอเมริกา ต่อมาได้แพร่ออกไปอีกหลายประเทศทั่วโลก กลายเป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล โดยเฉพาะในหน้าหนาว ในประเทศไทยก็พบผู้ป่วย ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A นี้ด้วย
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a ระบาด
จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคตั้งแต่ 1 มกราคม – 14 พฤศจิกายน 2559 พบว่ามีผู้ป่วยแล้วกว่า 147,962 คน และเสียชีวิต 41 คน จังหวัดที่ป่วยมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ พะเยา อุตรดิตถ์ ระยอง
ความรู้เกี่ยวกับ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a
ไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัสตามฤดูกาล แบ่งเป็น 3 ชนิด คือ ชนิดเอ ชนิดบี และชนิดซี แต่ที่พบมาที่สุดคือชนิดเอ (H1N1, H3N2) และรองลงมาคือ ชนิดบี และซี ตามลำดับ
เชื้อไวรัสเหล่านี้อยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย และแพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆ ได้ง่าย โดยการไอ จาม หายใจ ถ้าใกล้ผู้ป่วยในระยะ 1 เมตร หรืออาจได้รับเชื้อทางอ้อมผ่านมือ สิ่งของ เช่น แก้วน้ำ ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ผ้าเช็ดมือ เป็นต้น ซึ่งสามารถเข้าสู่ตา จมูก ปาก
ในผู้ใหญ่อาจแพร่เชื้อได้นาน 3 – 5 วัน ในเด็กอาจพบได้ใน 7 – 10 วัน และเป็นนานขึ้น ถ้าภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง อาการจะมีไข้สูง ตัวร้อน หนาว ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะหลัง ต้นแขน ต้นขา ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คัดจมูก มีน้ำมูกใส ไอแห้งๆ เด็กอาจคลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วงมากกว่าผู้ใหญ่ ส่วนอาการคัดจมูก จาม เจ็บคอ จะพบเป็นบางครั้ง หรือพบในไข้หวัดธรรมดามากกว่า
ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล และหายภายใน 5 – 7 วัน แต่ถ้ามีภาวะแทรกซ้อน อาจปอดอักเสบรุนแรง หายใจเร็ว เหนื่อยหอบ หายใจลำบาก และถึงขั้นเสียชีวิตได้
ความแตกต่างของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a และ b
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a มีความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์ b เพราะสายพันธุ์ a แพร่ระบาดรุนแรง และควบคุมได้ยากกว่า สามารถกลายพันธุ์จากสัตว์มาสู่คน
สำหรับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ b นั้น จะพบได้เฉพาะในคน และไม่ค่อยทำให้เกิดอาการรุนแรง เจริญเติบโตได้ดีในอากาศเย็น พบมากที่สุดคือช่วงเดือนธันวาคม – มกราคม และช่วงเดือนสิงหาคม กลุ่มที่เสี่ยงและต้องระวังมากเป็นพิเศษคือ คนที่ป่วยเป็นโรคปอด โรคหัวใจ และเด็กเล็กๆ อายุน้อยกว่า 2 ขวบ รวมถึงคนแก่ และคุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะจะมีอาการรุนแรงกว่าปกติ
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “การรักษา และการป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A” คลิกหน้า 2
การรักษา ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ a
โรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ a สามารถรักษาได้ตามอาการ แต่ในคนที่มีความเสี่ยงรุนแรง คุณหมอจะพิจารณาให้ยาต้านไวรัส คือ ยาโอลเซลทามิเวียร์ (oseltamivir) ถ้าคุณพ่อคุณแม่สังเกต หรือสงสัยว่าลูกน้อยมีอาการรุนแรง คือ เป็นไข้ ปวดเมื่อยตามตัว เจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก หรือถ้าไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบมาพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ
สำหรับคนที่เป็นไข้เล็กน้อย คือมีไข้ต่ำๆ ยังรับประทานอาหารได้ อาจสามารถรักษาได้เองที่บ้าน ดังนี้
1.นอนหลับพักผ่อนให้มากๆ ในห้องที่มีอากาศถ่ายเท และไม่ควรออกกำลังกาย
2.ดื่มน้ำเกลือแร่ น้ำผลไม้ให้มากๆ งดดื่มน้ำเย็น
3.รักษาตามอาการ คือถ้ามีไข้ให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ห้ามใช้แอสไพริน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2 วัน ให้รีบพบแพทย์
4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก ผลไม้ เป็นต้น
1.ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำ และสบู่ หรือใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ
2.ไม่ใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น แก้วน้ำ หลอดดูด ช้อนอาหาร ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น
3.ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด
4.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผัก ผลไม้ นม ไข่ อาหารต้องปรุงสุกใหม่ๆ ใช้ช้อนกลาง
5.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
6.หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด มีผู้คนพลุกพล่าน อากาศถ่ายเทไม่ดี เป็นเวลานานโดยไม่จำเป็น
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
อ่านต่อ “5 พฤติกรรมป้องกันไข้หวัดใหญ่ “คลิกหน้า 3
อ่านเพิ่มเติม คลิก!!
แพทย์เตือนไข้หวัดใหญ่ระบาดช่วงหน้าหนาว
กลุ่มเสี่ยง ไข้หวัดใหญ่ ที่ควรได้รับวัคซีนทุกปี
ลูกเกือบเสียชีวิต เพราะพิษร้ายไข้หวัดใหญ่ H1N1
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
รวม 20 อาการต้องสงสัย ลูกไม่สบาย แบบนี้..! กำลังป่วยเป็นโรคอะไร?
Save
Save