กลายเป็นเรื่องดราม่า เมื่อเพจดังออกมาเผย เรื่องราวของคุณแม่ที่ใช้ สายจูงกันหลง กับลูก ซึ่งพาเข้ากราบพระบรมศพพ่อหลวง ร. 9 ในวันสุดท้าย ซึ่งมีคนหนาแน่น แต่ก็มีผู้คนมากมาย มองและยิ้มหัวเราะ พร้อมแซวว่าลูกซนจนต้องล่ามไว้เลยเหรอ!!!
ในช่วงหลังมานี้ มีพ่อแม่คนไทยหลาย ๆ คนหันมาใช้สายจูงลูกน้อย แทนการจูงมือธรรมดาแล้ว เพราะการใช้สายจูงนั้น ไม่ต้องกังวลว่าลูกจะหาย หรือหลุดมือ แถมหนูน้อยยังเดินสะดวกอีกด้วย ซึ่งที่ต่างประเทศเขาก็ใช้วิธีนี้กันเพื่อป้องกันลูกน้อยหลงทางและหายกันมานานแล้ว แต่ขณะเดียวกันคนไทย หรือคนที่ไม่มีลูกหลายคน กลับมองมองว่าเป็นเรื่องตลก และแปลกที่เด็กเล็ก ๆ จะมีสายจูงผูกที่ตัว
เพจดังเผย ดราม่า! แม่ใช้ สายจูงเด็ก กับลูก
แต่ถูกมองเป็นเรื่องตลก!
ซึ่งเรื่องนี้เอง ก็ได้มีคุณแม่ท่านนึง ออกมาเผยความในใจ กับกับใช้สายจูงกันหลงกับลูก และถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก… ซึ่งทาง เพจ Drama-addict ก็ได้เผยเรื่องราวของคุณแม่ท่านนี้ ที่ได้พาลูกชายเข้ากราบพระบรมศพในวันสุดท้าย โดยเธอใช้วิธีป้องกันไม่ให้ลูกหลงกับเธอด้วยการใช้สายจูงผูกกับข้อมือลูกและข้อมือเธอ แต่สุดท้ายกลับถูกคนอื่นมองแล้วหัวเราะ พร้อมมองว่าลูกเธอคงซนมากจึงต้องใช้วิธีนี้ ทั้งๆ ที่ต่างประเทศ ถือว่าวิธีนี้เป็นวิธีสามัญมากๆ สำหรับการป้องกันการพลัดหลงของเด็กเล็ก
โดยแอดมินเพจ ได้เผยข้อความจากคุณแม่รายดังกล่าวว่า…
ขุ่นแม่ท่านนึงส่งเรื่องนี้มาอวดว่า วันก่อนเขาพาลูกไปถวายความเคารพพระบรมศพวันสุดท้าย ก็อย่างที่รู้กันว่าคนเยอะมากกกกกกก แม่เขาก็ใช้ สายจูงลูก คล้องลูกไว้ ซึ่งสายจูงลูกนี่เป็นอุปกรณ์ที่ ตปท เขาใช้กันเป็นเรื่องปรกติ เวลาจะพาลูกไปเดินในที่ๆคนพลุกพล่าน ป้องกันการพลัดหลง และช่วยให้พ่อแม่เฝ้าระวังลูกได้
แม่เขาก็เล่าว่า หลายๆคนก็มองลูกเขาแล้วยิ้มๆ บางคนก็หัวเราะ แซวแม่เขาว่า ลูกซนล่ะสิถึงต้องล่ามไว้ แม่ก็ยิ้มตอบกลับไปแบบสวยๆว่าลูกไม่ดื้อไม่ซนค่ะแต่แม่กลัวลูกหาย ถ้าแค่จับมือลูกอย่างเดียว เกิดมีคนเดินแทรกเบียดจนแม่ลูกไปกันคนละทางอาจพลัดหลงได้แบบนั้นไม่คุ้มเลย แม่เขาก็เลยฝากบอกว่า
โพสต์โดย Drama-addict บน 8 ตุลาคม 2017
อ่านต่อ “แม่เผยความในใจ หลังถูกมองเป็นเรื่องตลกเมื่อใช้สายจูงกันหลงกับลูก” คลิกหน้า 2
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : เพจเฟซบุ๊ก Drama-addict
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
โพสต์โดย Drama-addict บน 8 ตุลาคม 2017
ประเด็นนี้บางคนมองหัวเราะ แต่เราแม่ลูกก็ไม่ได้สนใจ
ความปลอดภัยมาก่อนเด็กเล็กมากๆยิ่งไม่รู้เรื่อง การใช้สายคล้องเราว่าจำเป็น เด็กไม่รู้จักอายหรอก มีแต่ผู้ใหญ่นี่แหละอาย
เด็กเริ่มพออธิบายเหตุผลได้ก็พูดตรงๆไปเลย ตอบคำถามลูกให้เคลียร์ แล้วจะพบว่าเด็กเข้าใจเหตุผลมากกว่าที่ผู้ใหญ่คิด และไม่อายด้วย อาจรู้สึกรำคาญเล็กน้อยก็แก้ปัญหาสาเหตุที่รำคาญไปเราใช้แบบนี้กับการไปที่คนเยอะไปบ่อยอย่าอายที่จะป้องกันลูกหาย ลูกหายจะเสียใจมากกว่าอาย
และในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ ก็จะมีพระราชพิธีที่น่าจะมีคนไปร่วมกันเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ เชื่อว่าพ่อแม่หลายๆคนก็คงพาลูกไปร่วมงานนี้ อยากให้เตรียมใช้สายคล้องลูกกันให้ชินนะครับ จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเด็กพลัดหลงหรือเด็กหายในงาน
ทั้งนี้เมื่อโพสต์ถูกเผยแพร่ชาวเน็ตต่างเข้าแสดงความคิดเห็นชื่นชมคุณแม่ท่านดังกล่าวบอกเป็นวิธีที่ถูกแล้วเมื่อพาลูกไปในที่คนเยอะเป็นการป้องกันได้ที่ดีเพราะไม่รู้ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นได้เมื่อไร
ข้อดีและข้อควรระวังของการใช้สายจูงเด็ก
สำหรับในเด็กวัยหัดเดินหลายคนชอบอยู่ใกล้กับพ่อแม่เวลาไปเดินห้าง แต่บางคนที่ชอบสำรวจอาจเดินหลงหายไปได้ การใช้สายสำหรับจูงลูกในเด็กกลุ่มนี้จะช่วยได้มาก
ข้อดีของการใช้ สายจูงเด็ก
- ช่วยป้องกันลูกน้อยพลัดหลงทาง หายตัว ในกรณีเข้าไปในสถานที่ ที่มีคนเยอะ
- ไม่ต้องคอยวิ่งตามจับ เหมาะกับคุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ที่ตามหลานไม่ทัน
- เพิ่มความสบายใจให้กับคุณพ่อคุณแม่ขณะทำธุระด้วยมือทั้งสองข้าง
- ป้องกันลูกวิ่งล้ม โดยเพียงแค่คุณพ่อคุณแม่ใช้การดึงกระตุกอย่างเบามือ
- ทำให้ลูกรู้สึกปลอดภัย และในขณะเดียวกันลูกก็มีโอกาสเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อีกด้วย
ข้อเสียและข้อควรระวังของการใช้ สายจูงเด็ก
- ในบางครั้งอาจทำให้ลูกเดินวิ่ง ไม่สะดวก
- อาจทำให้ขวางทางจราจรของผู้อื่น เนื่องจากสายจูงเด็กที่ยาว
- ขณะที่ไม่มีสายจูงอาจทำให้เด็กไม่ระมัดระวัง จนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับการล้มที่ผิด เพราะลูกจะรู้สึกว่าปลอดภัยทุกครั้งที่ล้ม เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่คอยระวังจากการใช้สายจูงช่วยเหลือได้ทัน
- ทำอันตรายถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ขณะที่พ่อแม่พาลูกขึ้นบันไดเลื่อนหรือลิฟต์ แล้วไม่ปลดสายออกก่อน ปล่อยห้อยแกว่งไปมา ปลายสายจะถูกดูดเข้าไปหนีบกับบันไดหรือลิฟต์ได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยระวังไม่ให้ใช้สายจับลูกมัดไว้กับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่คุณเป็นคนถือสายเด็ดขาด เพราะอาจเกิดเรื่องเศร้าโดยไม่คาดคิดก็ได้ เช่น สายรัดพันคอลูกจนเสียชีวิต ขณะที่คุณลูกไปทำธุระเพียงชั่วขณะ แล้วก็ต้องคอยระวังสายรัด อวัยวะต่างๆของเด็ก เช่น แขน ขา ที่สำคัญ เด็กให้ห่างมือลูกเมื่อเลิกใช้แล้ว เพราะอาจเล่นและเกิดอุบัติเหตุรัดคอเด็กได้
และคุณพ่อคุณแม่ ควรจูงลูกครั้งละ 1 คนเท่านั้น เพราะถ้าหากจูงลูก 2 คนพร้อมๆกัน อาจดูแลไม่ทันหากอีกวิ่ง อีกคนเดิน จะเกิดอุบัติเหตุได้ ควรใช้ได้เฉพาะในทางราบเท่านั้น ห้ามใช่ขณะขึ้นบันได หรือทางที่ลาดชัน
ที่สำคัญใช้ในยามที่จำเป็นเท่านั้น เพราะการใช้ตลอดเวลา อาจเป็นการปิดกั้นพัฒนาการเด็ก ในเรื่องการเดิน การวิ่ง ควรใช้ให้ถูกวัตถุประสงค์
อย่างไรก็ดีของใช้ทุกอย่างนั้นต่างก็มีข้อดีและข้อเสียในตัวอยู่เสมอ สิ่งสำคัญคือคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ ต้องฉลาดใช้และเลือกสิ่งที่ดีให้กับลูกน้อย และอย่าลืมศึกษาวิธีการใช้อย่างเข้าใจก่อนนำมาใช้กับลูกของเรานะคะ
อ่านต่อ “วิธีป้องกันลูกหาย พร้อมหน่วยงานที่ช่วยดูแลเรื่องนี้” คลิกหน้า 3
อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!
- จะเป็นอย่างไร!? เมื่อ‘ตั๊ก-บริบูรณ์’ ปล่อย ลูกหลงทาง เพื่อเป็นบทเรียน (มีคลิป)
- ลูกหลงทาง ป้องกันด้วย 7 วิธีง่ายๆ
- เล่ห์เหลี่ยมโจร! ลักพาตัวลูก ต่อหน้าพ่อ โดยไม่รู้ตัว (มีคลิป)
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
สถิติจากหลายแห่งทั่วโลก ล้วนระบุว่า เด็กๆที่พลัดหลงกับพ่อแม่นั้นในแต่ละปีมีจำนวนมากจนน่าตกใจ และที่น่าเศร้าที่สุด มีพ่อแม่ไม่ใช่น้อยที่ไม่ได้เจอลูกอีกเลย นับตั้งแต่วันที่ลูกหายไป
ซึ่งปัจจุบันเรื่องเด็กพลัดหลง-เด็กหาย ยังคงเป็นปัญหาเรื้อรังที่สร้างทั้งความหวาดกังวล และทรมานจิตใจให้แก่คนเป็นพ่อเป็นแม่อยู่ทุกขณะ และเพื่อเป็นการรับมือกับปัญหาร้ายแรงนี้ นักวิจัย ฝ่ายสื่อสารสาธารณะนำเสนอกรณีตัวอย่าง นายประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ จึงได้มีข้อเสนอแนะ ดังนี้
วิธีป้องกันลูกหาย
1. การเข้าใจธรรมชาติของเด็กแต่ละวัย จะทำให้คุณรู้ซึ้งกับประโยคที่ว่า “ต้องดูลูกไว้-อย่าให้คลาดสายตา” โดยเฉพาะเด็กน้อยวัยซน (ไม่เกิน 4 ขวบ) เพราะเด็กวัยนี้ไม่ค่อยจะอยู่นิ่ง หนำซ้ำยังไม่เข้าใจคำว่า อันตราย” เราจึงมักได้พบเด็กๆในวัยนี้เสียชีวิตจากการ จมน้ำชอบนั่งเล่นริมน้ำ, วิ่งข้ามสะพานแคบๆ) ตกจากที่สูง (ชอบปีน ชอบกระโดด) เดินเตาะแตะออกจากบ้าน แล้วเดินไปเรื่อยๆกระทั่งหลงหายไป หรือประสบอุบัติเหตุ
หรือในเด็ก 4 – 7 ขวบอันเป็นวัยที่ยังจำทิศทางและรายละเอียดขอสถานที่ยังไม่แม่น หากขืนปล่อยทิ้งไว้คนเดียวก็มีสิทธิสับสนตกใจ และเดินพล่านจนหลงทางไปเลย แม้แต่เด็กโต 7 – 10 ขวบ ก็ไม่ควรประมาท เพราะเด็กวัยนี้มักจะหลงกับพ่อแม่ในห้างสรรพสินค้า หรือในงานนิทรรศการต่างๆที่มีผู้คนหนาแน่น ที่พ่อแม่กับลูกแยกกันเดินดูสิ่งที่ตนสนใจโดยมากก็เกิดจากความ “ไว้วางใจจนเกินไป”
พ่อแม่เชื่อว่าลูกโตแล้วคงไม่หลงแน่ ส่วนลูกก็มั่นใจจนเกินไปว่าตนเองหาพ่อแม่เจอแน่ทั้งๆที่จริงๆแล้ว นั่นคือการมองโลกในแง่ดีจนเกินไป ดังนั้นทุกครั้งเมื่อจะพาลูกไปที่ไหนก็ตาม ควรจะเตรียมแผ่นกระดาษโน้ต (เคลือบพลาสติกใสด้วยก็ยิ่งดี) โดยบันทึกชื่อคุณพ่อคุณแม่ เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ให้ครบถ้วน แล้วสอดไว้ในกระเป๋าเสื่อของลูก โดยลูกเองก็ต้องจำได้ด้วยว่ากระดาษสำคัญแผ่นนี้เอาไว้ที่ไหน หากพลัดหลงกัน ถ้ามีผู้ใหญ่มาพบเข้าจะได้รู้ว่าจะแจ้งพ่อแม่ได้ที่เบอร์ไหน? ที่อยู่ใด? แต่ทั้งนี้เพื่อป้องกันเหล่ามิจฉาชีพ จึงไม่ขอแนะนำให้จดรายละเอียดใดๆไว้ในที่ๆพบเห็นได้โดยง่าย เช่น บนกระเป๋าเสื้อด้านนอก หนีบไว้บนกระเป๋านักเรียน บนกระติกน้ำ เป็นต้น
2. เด็กหลายๆ คนรู้ว่าตนเองนั้นมีชื่อเล่นว่าอะไร แต่จำชื่อ และนามสกุลจริงของตนเองไม่ได้เลย! ดังนั้นจึงขอฝากคุณพ่อคุณแม่ให้ช่วยฝึกฝนท่องทบทวนชื่อทั้งตนเอง และชื่อนามสกุลของตนเอง,ของคุณพ่อและคุณแม่ ยิ่งจำเบอร์โทรของคุณพ่อคุณได้ก็จะดีมาก
3. เมื่อพบตำรวจในเครื่องแบบให้แนะนำให้ลูกได้รู้จัก และบอกลูกว่านี่คือบุคคลที่จะช่วยลูกได้ ในยามที่ถูกรังแกหรือเดนพลัดหลง ให้ลูกเดินเข้าไปบอกคุณตำรวจ ดังนั้นการหลอกหรือขู่ให้เด็กๆกลัวตำรวจโดยไร้เหตุผล เช่น ถ้าไม่เลิกงอแงจะเรียกตำรวจมาจับไปขัง มาจับหักคอ ฯลฯ และเมื่อถึงคราวมีภัยถึงตัวลูกจะจะไม่กล้าขอความช่วยเหลือกับตำรวจ หรือกลัวแม้แต่รปภ.
4. ก่อนที่จะพาลูกไปเที่ยวที่ใด ควรจะนัดแนะกันให้เข้าใจและตรงกัน ว่าหากเกิดพลัดหลงกันก็ให้มาเจอกันที่ไหนอันเป็นจุดนัดพบ เช่น ที่ประตูทางเข้า, เคานเตอร์ขายตั๋ว, หน้าร้านไอศกรีม เป็นต้น
5. เมื่อเห็นว่าลูกโตพอที่จะไปกลับโรงเรียนเองได้แล้ว ก็ควรจะต้องเป็นพี่เลี้ยงให้ลูกในช่วงแรก ๆ โดยวางแผนการเดินทางโดยใช้เส้นทางที่ปลอดภัยเท่านั้น โดยหลีกเลี่ยงทางลัดทางเปลี่ยวทั้งหลายโดยเด็ดขาด (หากจะมีแผนที่แสดงเส้นทางที่ถูกต้องและปลอดภัยเพื่อลูกจะได้พกติดตัวก็จะน่าจะอุ่นใจไม่น้อย)
6. ทันทีที่รู้ว่าลูกเดินพลัดหลงกับเราหรือเมื่อรู้ว่าลูกออกจากบ้านไปนานจนผิดสังเกต ให้รีบดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งทันทีอย่ามัวชักช้าเป็นอันขาด เพราะคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายและเลวร้ายยิ่งขึ้นทุกที ให้รีบเข้าแจ้งความกับตำรวจโดยเร็ว โดยแจ้งชื่อเด็ก (ที่หาย), รูปพรรณสัณฐาน, อายุ, ที่อยู่, เบอร์โทร (ที่ติดต่อผู้แจ้งได้) และสิ่งที่จะต้องเตรียมไปด้วยก็คือ
1.บัตรประชาชน(บัตรนักเรียน)
2.สำเนาทะเบียนบ้าน(ที่มีชื่อของเด็กที่หาย)
3.สูติบัตร(ใบเกิด)ของเด็ก
4.ภาพถ่ายผู้ที่หาย (รูปที่ชัดเจน และที่เพิ่งถ่ายล่าสุด)
และหากจดจำเสื้อผ้าเครื่องประดับของเด็ก(ในวันที่หายไป)และแจ้งแก่ตำรวจ ก็จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ง่ายขึ้น
√ เมื่อลูกหาย พ่อแม่สามารถแจ้งได้ที่…
- ศูนย์ข้อมูลคนหายเพื่อต่อต้านการค้ามนุษย์ มูลนิธิกระจกเงา โทร. 0-2642-7991 ต่อ 11 โทรสาร 0-2642-7991 ต่อ 18 E-mail:info@backtohome.org ตลอด 24 ชั่วโมง
- ร่วมด้วยช่วยกัน หมายเลขโทรศัพท์ 1677 หรือ 142 เรียกร่วมด้วยช่วยกัน และทาง rd1677.com
- จส.100 ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1137 หรือ 142 เรียก จส.100 และทาง js100.com 4. สวพ.91 ติดต่อที่ www.trafficbkk.com
- กองบังคับการปรามปราบการกระทำความผิดต่อเด็ก เยาวชน และสตรี (ปตส.) สามารถติดต่อได้ทาง cwd.go.th หรือ โทร. 0-2513-32180, 0-2511-4874
- ศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชน และสตรี กองบัญชาการตำรวจนครบาล (ศดส.) โทร. 0-2282-1815 หรือทาง korkorsordor.com
อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!
- ระวังภัยจากการล่อลวงเด็ก และแก๊งลักเด็ก
- ข้อเท็จจริง มิจฉาชีพ ทำไมถึงลักพาตัวเด็กน้อย
- อย่าละสายตาจากลูกน้อยแม้แต่วินาทีเดียว
ขอบคุณข้อมูลจาก : นายประจวบ ผลิตผลการพิมพ์ oknation.nationtv.tv