AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

สุดสลด! แม่ท้องโดนสามีบังคับให้คลอดธรรมชาติ ตัดสินใจโดดตึก เสียชีวิตทั้งแม่ลูก

การ คลอดธรรมชาติ ถือเป็นการคลอดที่ปกติ  ซึ่งส่วนมากก็มักจะลงเอยด้วยความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อยที่คลอดออกมา แต่ก็มีคุณแม่จำนวนไม่มากที่ไม่สามารถคลอดธรรมชาติได้เอง เนื่องจากการผ่าตัดคลอดเป็นวิธีที่แพทย์ส่วนมากจะสงวนเอาไว้ใช้เฉพาะกรณีที่จำเป็นจริงๆ

เช่น ลูกคลอดทางช่องคลอดไม่ได้เพราะตัวใหญ่มาก ลูกนอนอยู่ในท่าหรือแนวที่ผิดปกติ เช่น เอาก้นลงมาอยู่ข้างล่างตอนใกล้คลอดแทนที่จะเอาหัวลงมา หรือบางกรณีก็ผ่าตัดเพราะปัญหาอื่น เช่น รกเกาะต่ำขวางที่ปากมดลูกและมีเลือดออกมาหากทิ้งไว้นานอาจเป็นอันตรายทั้งแม่และลูกในท้องได้ ในบางรายที่คุณแม่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และลูกในท้องไม่ค่อยจะแข็งแรงเสี่ยงที่จะขาดออกซิเจนขณะเจ็บท้องคลอดได้ กรณีอย่างนี้คุณหมอก็อาจจะต้องผ่าตัดคลอดเพื่อความปลอดภัยของลูกเช่นกัน

สุดสลด! แม่ท้องแก่ขอสามีผ่าคลอดเพราะลูกในท้องหัวโต แต่สามีไม่ยินยอมและยืนยันให้ คลอดธรรมชาติ

ซึ่งก็เช่นเดียวกับเหตุการณ์นี้ที่คุณแม่ท้องแก่ใกล้คลอดจำเป็นต้องผ่าคลอด โดยแพทย์ได้ยืนยันแล้วแต่ทางครอบครัวของคุณแม่ท้องไม่เห็นด้วยและยากให้คลอดธรรมชาติ ด้วยเหตุผลไม่พร้อมบางอย่าง….

โดยเรื่องนี้นับเป็นเหตุการณ์สุดสะเทือนใจและกำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มในโซเชียลของประเทศจีนตอนนี้ เมื่อเว็บไซต์เซี่ยงไฮ้อิสต์ ได้เผยข่าวที่รายงานระบุว่า ได้มีแม่ท้องแก่ชาวจีนวัย 26 ปี รายหนึ่ง ตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยการกระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้น 5 ของโรงพยาบาลจนเสียชีวิต หลังจากที่ทางสามีและครอบครัวปฏิเสธการยินยอมให้เธอผ่าท้องคลอดบุตร ให้คลอดโดยวิธีธรรมชาติแทน

ซึ่งคุณแม่ได้ตั้งครรภ์ 9 เดือน และครบกำหนดคลอดแล้วก็ได้ไปโรงพยาบาล เพื่อเตรียดทำคลอด โดยเบื้องต้นแพทย์ได้ระบุว่าหัวของลูกทารกในครรภ์ มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ทำให้การคลอดแบบธรรมชาติมีความยากลำบากและเสี่ยงมาก จึงแนะนำให้ใช้การผ่าตัดทำคลอดแทน

แต่ทางครอบครัวยังคงยืนยันที่จะให้เธอคลอดวิธีธรรมชาติ และไม่เซ็นยินยอมให้เธอผ่าท้องคลอด ซึ่งตามกฎหมายของประเทศจีน หากครอบครัวไม่ยินยอม แพทย์ก็จะไม่สามารถดำเนินการผ่าตัดให้ได้

โดยในช่วงที่เข้าห้องคลอด คุณแม่ท้องก็เกิดปวดท้องมาก จนได้เดินออกมาจากห้องคลอด เพื่อขอร้องสามีให้อนุญาตให้เธอผ่าตัดทำคลอด ถึงกับนั่งคุกเข่ากับพื้นวิงวอนโดยได้อธิบายถึงความเจ็บปวดที่เธออาจจะไม่สามารถทนรับไหว  แต่สามีกลับปฏิเสธ แม้ว่าแพทย์และพยายามจะแนะนำว่าการผ่าตัดทำคลอดเป็นวิธีที่ดีที่สุด

ชมคลิป >> “แม่ท้องแก่ขอสามีผ่าคลอดเพราะลูกในท้องหัวโต แต่สามีไม่ยินยอม”คลิกหน้า 2

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณข้อมูลข่าวจาก : https://www.khaosod.co.th/monitor-news/news_500458

ขอบคุณภาพจาก : http://news.qq.com/a/20170905/005371.htm

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 

สุดท้ายพยาบาลแจ้งว่าคุณแม่ท้องคนนี้หายตัวไปจากห้องคลอด และช่วงค่ำวันเดียวกัน ก็มีคนพบศพว่าคุณแม่ท้องได้กระโดดจากชั้น 5 โรงพยาบาล เป็นเหตุให้เธอพร้อมทารกในครรภ์เสียชีวิตทันที โดยเจ้าหน้าที่สรุปสาเหตุการเสียชีวิตว่า เป็นการฆ่าตัวตาย

ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : 火爆西瓜视频

ทั้งนี้ล่าสุดโรงพยาบาลกล่าวว่า คาดว่าทางบ้านของสามีอาจคิดว่าเด็กที่คลอดโดยธรรมชาติจะแข็งแรงกว่า หรืออาจจะไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในการผ่าคลอดเพิ่ม แต่ทางบ้านของสามีก็ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นเพราะสาเหตุทางการเงิน พร้อมกล่าวว่าฝ่ายโรงพยาบาลคือผู้ที่ไม่ยอมให้ผ่าคลอด สำหรับเรื่องนี้คงต้องติดตามผลการสืบสวนสอบสวนต่อไปว่าจะมีบทสรุปอย่างไร

โดยภายหลังจากเรื่องราวดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา ก็กลายเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียลของจีน หลายคนต่างแสดงความคิดเห็นไม่พอใจต่อครอบครัวของหญิงสาวรายดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้มีบทลงโทษกับพวกเขา สำหรับการกระทำที่ก่อให้เกิดผลออกมาเป็นเช่นนี้

♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

>> จากเหตุการณ์ข้างต้นนั้นในเรื่องการการผ่าตัดคลอดความจริงแล้วก็เสี่ยงอันตรายไม่น้อย แต่ในปัจจุบันการผ่าตัดคลอดจัดเป็นการผ่าตัดที่ค่อนข้างปลอดภัยสูง ดังนั้นทั้งคุณหมอและคุณแม่จึงนิยมผ่าตัดคลอดกันมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ผ่าเพราะเหตุผลทางการแพทย์ก็เปลี่ยนไปเป็นเหตุผลอื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ  เช่น ผ่าเพราะกลัวเจ็บ เพราะถ้าคลอดเองกว่าจะคลอดต้องเจ็บท้องทรมานนานทีเดียว คนเดี๋ยวนี้อดทนสู้คนสมัยก่อนไม่ค่อยได้ บางคนก็ผ่าเพราะกลัวช่องคลอดฉีกขาดมาก กลัวช่องคลอดหลวมหลังคลอดซึ่งจะทำให้มีปัญหาเพศสัมพันธ์ในภายหลัง และบางคนก็ขอร้องให้คุณหมอผ่าตัดเพราะเลือกวันเวลาที่สะดวกเนื่องจากมีปัญหาหลายประการ เช่น ปัญหาการทำงาน บ้านอยู่ไกล หรือปัญหาจราจร ที่ดูจะไม่ค่อยมีเหตุผลเท่าไรแต่มีทำกันไม่น้อยก็คือการผ่าคลอดโดยดูตามฤกษ์ยาม

ผ่าท้องคลอดไม่มีอันตรายจริงหรือ?

แม้จะยอมรับกันโดยทั่วไปว่าการผ่าตัดคลอดในปัจจุบันมีความปลอดภัยค่อนข้างสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการผ่าตัดคลอดจะไม่มีอันตรายอะไรเลย  และเมื่อเปรียบเทียบกับการคลอดทางช่องคลอดแล้ว การผ่าตัดคลอดก็ยังคงมีอันตรายมากกว่าการคลอดทางช่องคลอดอยู่ดี

ซึ่งในกรณีของคุณแม่ท้องที่ขอผ่าคลอด ก็เพราะเนื่องมาจากคุณหมอเองได้แจ้งว่า ทารกในครรภ์มีขนาดศีรษะที่ใหญ่เกินไปจึงมีความเสี่ยงที่จะทำคลอดธรรมชาติ และวิธีที่ดีที่สุดคือการผ่าคลอด ซึ่งนั้นก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

อ่านต่อ >> เพราะเหตุใดทารกในครรภ์จึงหัวโต พร้อมวิธีรักษา” คลิกหน้า 3

เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่

Amarin Baby & Kids

 


ความผิดปกติเมื่อทารกมีขนาดศีรษะใหญ่!!

เพราะศีรษะของทารกนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งในการใช้กำหนดอายุครรภ์ คุณหมอต้องวัดความกว้างของศีรษะของทารก ซึ่งเรียกว่า Biparietal diameter เป็นมาตรฐานในการคำนวณอายุครรภ์ ความผิดปกติแต่กำเนิดในระบบประสาทส่วนกลางที่พบก็เช่น ทารกหัวบาตร (Hydrocephalus) เป็นภาวะที่มีปริมาณน้ำในช่องสมอง (Cerebrospinal fluid = CSF) เพิ่มมากผิดปกติ อะไรก็ตามที่ทำให้มีการสร้าง CSF เพิ่มขึ้น จะทำให้มีการดูดซึมกลับของ CSF ช้าลง หรือมีอะไรไปขวางทางไหลเดินของ CSF ก็จะทำให้เกิดเด็กหัวบาตรขึ้นในที่สุด

ซึ่งคุณหมอจะวัดความกว้างของช่อง Ventricle ในสมอง ซึ่งปกติมีความกว้างประมาณ 7.6 มม. ตลอดอายุครรภ์ตั้งแต่ 15-40 สัปดาห์ หากมากกว่า 15 มม. ถือว่าผิดปกติ

ซึ่งการมีช่องว่างในสมอง ที่เรียกว่า Holoprocencephaly ก็เป็นความผิดปกติที่มักพบร่วมกับการที่ทารกมีตาเดียว (Single orbit) มีปากแหว่งตรงกลาง มีช่องจมูกช่องเดียว และอาจพบก้อนเนื้อยื่นเหนือระดับตาด้วย

ในบางรายจะไม่พบกะโหลก (anencephaly) และมีลักษณะตาที่คล้ายกบ เรียกว่า Frog eye appearance ลักษณะอื่นที่พบด้วย ได้แก่ ครรภ์แฝดน้ำ เกิดจากมีการผลิตน้ำคร่ำมากขึ้นร่วมกับการที่ทารกในครรภ์กลืนน้ำคร่ำได้ไม่ ปกติ โดยภาวะที่ทารกไม่มีกะโหลกศีรษะนี้สามารถตรวจหาได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 12 สัปดาห์

นอกจากนี้หากคุณแม่ตั้งครรภ์แล้วมีการติดเชื้อในครรภ์เกิด ขึ้น โดยเฉพาะการติดเชื้อ กลุ่ม Virus ได้แก่ toxoplasma หัดเยอรมัน cytomegalovirus เริม ซึ่งสามารถผ่านรกทำให้ทารกติดเชื้อได้ ส่งผลให้มีการติดเชื้อในสมองทารก ทำให้ศีรษะทารกเล็ก เนื้อสมองฝ่อ ช่องสมองที่มีน้ำใหญ่ขึ้น นอกจากนี้จะเห็นจุดขาวๆ ในเนื้อสมอง ซึ่งเกิดจากการสะสมของแคลเซียม และอาจตรวจพบตับ ม้ามโต ในกรณีของการติดเชื้อ cytomegalovirus ด้วย

กรณีมีการอุดตันของหลอด เลือดแดง หลอดเลือดดำ หรือการอุดตันของเส้นเลือดในสมองทารกข้างใดข้างหนึ่ง จะทำให้เกิดการฝ่อตัวของเนื้อสมองในข้างเดียวกัน โครงสร้างภายในสมองก็จะโย้ไปด้านที่ฝ่อได้

ในบางรายมีการอุดตันของ หลอดเลือดแดงของทารกทำให้เกิดการทำลายของเนื้อสมอง เมื่ออัลตราซาวนด์คุณหมอจะเห็นของเหลวเต็มกะโหลกศีรษะ โดยไม่เห็นเนื้อสมองเลย

⇒ Must read : Hydrocephalus โรคน้ำในสมองในทารก อาจทำให้เสียชีวิต

ทั้งนี้ โรคหัวบาตร หรือ ไฮโดรเซฟฟาลัส มักเกิดในเด็กเล็ก พบได้ทั้งเพศชาย และเพศหญิง โดยในภาษาไทยจะเรียกเด็กที่เป็น โรคหัวบาตร ว่า เด็กหัวแตงโม ซึ่งแพทย์ระบุว่า จากสถิติจะพบเด็กที่เป็น โรคหัวบาตร ได้ในอัตรา 1 ใน 1,000 คนต่อปี ขณะที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ในแต่ละปีจะมีเด็กเข้ารับการรักษา โรคหัวบาตร นี้ไม่ต่ำกว่า 10 ราย

การรักษา ทารกในครรภ์หัวโต (โรคหัวบาตร)

โรคหัวบาตร นั้นสามารถรักษาได้โดยการเจาะไขสันหลัง ใส่สายยางเล็กๆ เพื่อดูดน้ำที่อยู่ในสมองออกมา และต่อท่อจากสมองลงมาที่อวัยวะอื่นๆ เช่น หัวใจ ช่องท้อง หรือผนังเยื่อหุ้มปอด เพื่อระบายน้ำออกแทนจากนั้นต้องให้ยา เพื่อให้ร่างกายหยุดการผลิตน้ำในสมอง ทั้งนี้ หากตรวจพบว่าเป็น โรคหัวบาตร ได้เร็ว ก็จะสามารถรักษาให้หายได้ แต่หากรับการรักษา โรคหัวบาตร ล่าช้า ผู้ป่วยจะมีอาการหัวโต เนื่องจากน้ำในโพรงสมองจะเพิ่มขึ้น จนทำให้เนื้อสมองบางลง และส่งผลต่อพัฒนาการทางสมองและร่างกายในที่สุด

และในปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าไปอย่างมาก ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัย โรคหัวบาตร หรือไฮโดรเซฟฟาลัสได้ตั้งแต่ทารกยังอยู่ในครรภ์มารดา ด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์ ซึ่งจะสามารถตรวจพบขนาดของศีรษะเด็กที่โตผิดปกติได้ ตั้งแต่อายุครรภ์ประมาณ 12 สัปดาห์ขึ้นไป

การป้องกันโรคหัวบาตรของทารกในครรภ์

สำหรับการป้องกันโรคหัวบาตรของทารกในครรภ์นั้น อาจารย์จาลีล มิลาน และคณะ จากมหาวิทยาลัยแมนเชนเทอร์ และแลนคาสเทอร์ ประเทศอังกฤษ ได้ทำการศึกษาในหนูทดลองพบว่า การให้โฟเลต (folates) ซึ่งเป็นวิตามิน B ชนิดหนึ่ง มีส่วนช่วยลด โรคหัวบาตร หรือภาวะโพรงน้ำในสมองโต (hydrocephalus) ได้ ดังนั้นจึงได้แนะนำให้หญิงที่จะเตรียมตั้งครรภ์ให้กินกรดโฟลิค ซึ่งเป็นวิตามินสังเคราะห์ เพื่อป้องกันความผิดปกติของกระดูกสันหลัง (spina bifida) และสมอง

ทั้งนี้สารโฟเลต เป็นวิตามิน B ชนิดหนึ่ง ที่พบมากใน ตับ ถั่ว หน่อไม้ฝรั่ง ผักปวยเล้ง ไข่ เมล็ดทานตะวัน มะเขือเทศ ส้ม และผักผลไม้สดๆ ฯลฯ อย่างไรก็ตามการศึกษานี้เป็นการศึกษาขั้นเริ่มต้น จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านต่อไป

อ่านต่อ “บทความดี ๆ น่าสนใจ” คลิก!


ขอบคุณข้อมูลจาก : momybaby-mombaby.blogspot.com , health.kapook.com