เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องราวของ นางซีโมน เธอร์เบอร์ คุณแม่ลูกสี่วัย 43 ปี กับนาทีคลอดลูกเองตามธรรมชาติ ซึ่งครอบครัวและคุณแม่ได้อาศัยบริเวณลำธารกลางป่าฝนเดนทรี รัฐควีนส์แลนด์ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย เป็นสถานที่คลอด
เธอเล่าว่า หลังทราบว่าตัวเองท้อง จึงเลือกทำเลภายในป่าฝนเดนทรี โดยไปอาศัยอยู่กับบ้านเพื่อนริมป่าล่วงหน้า 2 สัปดาห์ เมื่อครบกำหนดคลอด จึงนำเสื่อพลาสติกปูกลางลำธาร ถอดเสื้อผ้า นั่งยองๆ แล้วคลอดลูก โดยมีสามีเป็นผู้บันทึกคลิปและให้กำลังใจ เสร็จแล้วก็กลับเข้าบ้านไปตัดสายรกออก ก่อนนำไปฝังใต้ลำธารตามประเพณีของชาวอะบอริจินเพื่อกลับคืนสู่ผืนดิน
นางซีโมนบอกต่ออีกว่า “ต้องการให้ลูกคนที่ 4 พ้นจากสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาล จึงตัดสินใจไปคลอดลูกในป่า อย่างไรก็ตาม แพทย์เตือนให้ระวังอันตรายด้วย เพราะหากผิดพลาดขึ้นมาจะไปโรงพยาบาลลำบาก”
ซึ่งคลิปวิดีโอนี้ได้โพสต์ครั้งแรกในปี 2556 เพื่อฉลองลูกสาวครบ 1 ขวบ โดยนางซีโมนเผยว่า รู้สึกได้ทำสิ่งน่าอัศจรรย์ อยากจะแบ่งปันให้คนอื่นเห็นว่าทุกอย่างเป็นไปได้ และที่สำคัญเป็นช่วงเวลาที่อยู่กับลูกสาวอย่างใกล้ชิด ภูมิใจที่ชาวโซเชี่ยลชมคลิปนี้…เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรไปชมคลิปกันค่ะ
>> ชมคลิป “คุณแม่ใจเด็ดคลอดลูกกลางป่า-ตัดสายรกเอง” คลิกหน้า 2
จากบทความข้างต้น อาจมีคำถามเกิดขึ้นในใจใครๆหลายคนว่า…การตัดสายรกเองอาจทำให้ทารกแรกเกิดเสี่ยงเสียชีวิตด้วยโรคสะพั้นหรือโรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิดได้หรือไม่ และโรคนั้นคืออะไร ไปหาคำตอบกันค่ะ
โรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิด
โรคบาดทะยัก หรือ “สะพั้น” หรือ “ตะพั้น” ในสมัยก่อนทารกคลอดตามบ้าน โดยใช้ไม้รวกหรือตับจากตัดสายสะดือ หรือการดูแลสายสะดือไม่ถูกต้อง (เช่น ใช้น้ำหมากน้ำลายบ้วน ) ทำให้เกิดการติดเชื้อ กลายเป็นบาดทะยักได้ เราเรียกว่า บาดทะยักใน ชาวบ้านบางแห่งอาจเรียกว่า สะพั้น หรือตะพั้น ซึ่งมักจะพบหลังคลอดประมาณ 4-14 วัน (ปัจจุบันเด็กคลอดตามบ้านน้อยลง จึงพบโรคนี้น้อยลง)
อ่านต่อ >> “สาเหตุและวิธีป้องกันโรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิด” คลิกหน้า 3
สาเหตุของโรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิด
เกิดจากการติดเชื้อบาดทะยัก ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบมีอยู่ตามดินทราย และอุจจาระของสัตว์ ซึ่งมีชีวิตอยู่นานเป็นปี ๆ และเจริญเติบโตได้ดีในที่ ๆ ไม่มีออกซิเจน … ในสมัยก่อนคลอดลูกที่บ้าน หรือทำคลอดด้วยหมอตำแย เมื่อเด็กคลอดออกมาก็เอาสายสะดือพาดบนก้อนดิน แล้วใช้ไม้เรียวไผ่เฉือนตัดสายสะดือบนก้อนดินจนกว่าจะขาด แล้วก็ใช้ยาผงโรงสะดือเพื่อให้เลือดหยุด การตัดสายสะดือบนก้อนดินเช่นนี้ทำให้เชื้อบาดทะยักจากก้อนดินเข้าไปใน สะดือเด็กได้ง่าย และการโรยผงบนสะดือ อาจยิ่งทำให้อาการรุนแรงขึ้น เพราะผงยาจะไปขัดขวางไม่ให้ออกซิเจนเข้าถึงเชื้อบาดทะยัก หรือบาดแผลที่เปื้อนถูกดินทราย เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล แล้วปล่อยสารพิษออกมาทำลายระบบประสาท ทำให้เกิดอาการชักเกร็งของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย ระยะฟักตัว 5 วัน -15 สัปดาห์ (พบมากระหว่าง 6-15 วัน) ระยะฟักตัวยิ่งสั้น โรคยิ่งรุนแรงและอันตราย
อาการโรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิด
ในช่วงหลังคลอด 5-10 วัน เด็กแรกเกิดที่ติดเชื้อบาดทะยักมักจะแสดงอาการดังต่อไปนี้
- ในทารกมักมีอาการร้องกวน ไม่ยอมดูดนม และอ้าปากไม่ได้ กล้ามเนื้อตามแขนขา หน้าท้อง หลัง และส่วนต่าง ๆ ของร่างกายจะมีอาการหดตัวเกร็งแข็งและปวด ทำให้มีอาการคอแข็ง หลังแอ่น
- มีอาการขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ ทำท่าเหมือนยิ้มแสยะ กลืนลำบาก กระสับกระส่าย
- มีอาการชักกระตุกของแขนขาและกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเป็นพัก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสัมผัสถูก หรือถูกแสงสว่าง หรือได้ยินเสียงดัง แต่มักจะรู้สึกตัวดี (ต่างกับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และสมองอักเสบ ที่ผู้ป่วยไม่ค่อยรู้สึกตัว)
- ทุกครั้งที่ชักจะรู้สึกปวดมาก ขณะที่มีอาการชักกระตุก ผู้ป่วยอาจหายใจลำบาก ตัวเขียว และอาจหยุดหายใจได้
- อาจพบอาการแทรกซ้อน ขาดออกซิเจนขณะชัก, อาการขาดอาหารเพราะกลืนไม่ได้, ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะไม่ได้ เนื่องจากการแข็งตัวของกล้ามเนื้อหูรูด, ปอดอักเสบ, กระดูกหลังหักจากการชัก ในระยะท้ายของโรคอาจหยุดหายใจ และหัวใจวายถึงตายได้
การป้องกันโรคบาดทะยักในเด็กแรกเกิด
โรคนี้เมื่อเป็นแล้ว อาจมีโอกาสรักษาได้เพียงประมาณ 50% ดังนั้นทางที่ดีควรหาทางป้องกันไว้ตั้งแต่แรกซึ่งสามารถทำได้โดย
- ในการฝากครรภ์ ควรฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก (ท็อกซอยด์) ให้หญิงมีครรภ์ ทุกราย ฉีดครั้งละ 0.5 มล. ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อที่จะสร้างภูมิคุ้มกันส่งต่อไปยังลูกน้อยในท้อง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก และเข็มที่ 2 ควรฉีดก่อนครบกำหนดคลอด 1 เดือน หญิงตั้งครรภ์ที่เคยฉีดป้องกันบาดทะยักครบชุดมาแล้วเกิน 3 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียง 1 ครั้ง แต่ถ้าเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 3 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น
- ควรแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์คลอดกับบุคลากรที่รู้จักรักษาความสะอาดในการทำคลอด ไม่ใช้ไม้รวก ตับจาก มีดหรือกรรไกรที่ไม่ได้ทำการฆ่าเชื้อตัดสายสะดือเด็ก นอกจากนี้ควรแนะนำให้รู้จักทำความสะอาดสะดือเด็ก ไม่บ้วนน้ำหมากน้ำลายลงบนสะดือเด็ก
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาผงโรงสะดือทารกแรกเกิด เมื่อตัดสายสะดือเรียบร้อยแล้ว ให้ใช้ เจ็นเชี่ยน ไวโอเล็ทซึ่งเป็นยาสีม่วงสำหรับป้ายลิ้นเด็ก เวลาที่ลิ้นเป็นฝ้าขาวทาที่สะดือ เมื่อยาแห้งแล้วจึงค่อยใส่เสื้อผ้าให้ทารก วิธีนี้สะดือจะสะอาดปราศจากเชื้อโรค ไม่เป็นบาดทะยัก
- สำหรับเด็กทารกแรกเกิด ควรไดรับวัคซีนดีพีที (DPT) ป้องกันไอกรน คอตีบ บาดทะยัก ซึ่งรวมอยู่ในเข็มเดียวกันเพื่อป้องกัน ตั้งแต่อายุได้ 2, 4 และ 6 เดือน และฉีดกระตุ้นเมื่ออายุ 4 ปี แต่ถ้าไม่เคยฉีดตอนเด็ก ควรฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักหรือท็อกซอยด์ จำนวน 2 ครั้ง ๆ ละ 0.5 มล.ห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน หลังจากนั้น 6-12 เดือน ฉีดกระตุ้นอีก 1 ครั้ง ต่อไปฉีดกระตุ้นทุก ๆ 10 ปี
บาดทะยักโรคร้าย แต่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน
ขอบคุณข้อมูลข่าวและภาพจาก : www.khaosod.co.th
ขอบคุณคลิปวีดีโอจาก : BirthinNature
ข้อมูลอ้างอิงจาก : student.nu.ac.th