จากสุภาษิตที่ว่า “ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ ดูแน่ๆ ต้องดูที่ยาย” ก็ยังคงนำไปใช้ได้ในทุกยุคทุกสมัย เพราะหากเปรียบเด็กเหมือนผลไม้ เราก็จะเห็นได้ว่า ต้นไม้แต่ละต้นก็ให้ผลที่แตกต่างกันออกไป หากต้นไม้นั้นเป็นพันธุ์ไม้ที่ดี มีความแข็งแรง ผลของมันก็จะดีตามต้นไม้ แต่หากต้นไม้นั้น เอนไปเอนมา ไม่ได้รับการบำรุง และสายพันธุ์ของต้นไม้ชนิดนั้นๆไม่ใช่สายพันธุ์ที่ดี โอกาสที่ผลจะออกมาดี สวย น่ารับประทานก็ดูเหมือนจะยากอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นอันดับแรก…ก่อนที่จะมีลูก พ่อแม่ทุกคนก็ควรสำรวจตัวเองก่อนว่า >> เราเป็นพ่อแม่แบบไหนกันแน่!!! และลูกของเราจะยึดเราเป็นแบบอย่างหรือไม่? หรือมีใครมาว่าลูกบ้างหรือเปล่าว่า พ่อแม่ไม่เคยสั่งเคยสอน! และหลังจากที่สำรวจตัวเองแล้ว ทีนี้ลองมาดูกันว่า ที่ผ่านมาเวลาอบรมสั่งสอนลูก เพื่อตบให้เข้าที่เข้าทาง
… ดังนั้นมารีเช็คกันดีกว่าค่ะว่า คุณพ่อคุณแม่มีทัศนคติการเลี้ยงดูลูกของเราอย่างไรเป็นเหมือนทั้ง 5 แบบที่กล่าวมาหรือไม่? หากพบข้อบกพร่องจะได้หาทางแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ดังนี้ค่ะ…
1.ประเภทรักมากและปกป้องมากเกินไป
พ่อแม่แบบนี้มักให้ความรักกับลูกมากมายเกินความจำเป็น ทะนุถนอมมากเกินไป ปฏิบัติดูแลลูกเหมือนเป็นเด็กเล็กๆทั้งๆที่ลูกก็โตแล้ว แต่พ่อแม่ก็ยังประคบประหงมเหมือนไข่ในหินไม่ยอมให้ห่างสายตา ไม่ยอมให้ทำอะไรเลยเพราะกลัวจะเป็นอันตราย ลูกไม่ต้องคิดหรือตัดสินใจทำอะไรเลย พ่อแม่จะเป็นคนจัดการให้หมด
การเลี้ยงดูลูกแบบนี้ ทำให้ทักษะในการช่วยเหลือตัวเองช้า การที่จะพัฒนาไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นใจในตัวเองมีน้อยมาก เพราะไม่เคยตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองเลย ทำให้เป็นผู้ใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนเด็กคือเลี้ยงเท่าไรก็ไม่รู้จักโต และในที่สุด…พ่อแม่ก็รังแกฉัน
2.ประเภทที่ไม่ต้องการลูก
พ่อแม่ที่มีทัศนคติแบบนี้ก็จะไม่รักลูกและพาลเกลียดลูก ซึ่งอาจเนื่องมาจากการมีลูกทำให้พ่อแม่ต้องลำบากยิ่งขึ้นอีกหรือขณะแม่ตั้งครรภ์มี อาการไม่สบายมากทำงานไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่าลูกคนนี้นำความทุกข์มาให้โดยอาจจะเกิดตั้งแต่ระยะตั้งครรภ์หรือเกิดภายหลังคลอดลูกแล้วก็ได้ พ่อแม่ก็ซักทอดว่าเป็น เพราะลูกคนนี้ทำให้ครอบครัวต้องลำบาก
นอกจากนี้พ่อหรือแม่อาจจะเกลียดลูก ซึ่งตนโทษว่าเป็นเหตุให้แม่หรือพ่อบังเอิญมาตายระหว่างตั้งครรภ์หรือการคลอด ลูกคนนั้น พ่อแม่ที่มีความรู้สึกเช่นนี้ก็จะปฏิบัติต่อลูกด้วยความรุนแรง ทั้งวาจา พฤติกรรม และสีหน้า และไม่สนใจลูก ทำให้ลูกพัฒนาไปเป็นเด็กที่กระด้าง ก้าวร้าว ชอบทะเลาะวิวาท หงุดหงิด และมีลักษณะต่อต้านสังคม อาจจะเกิดปัญหาสุขภาพจิต ติดยาเสพติด ติดเหล้า ติดการพนัน ลักขโมยเป็นต้น
3.ประเภทตามใจมากจนไม่มีขอบเขต
พ่อแม่มักจะตามใจลูกทุกอย่าง โดยเฉพาะ ทางวัตถุ ลูกจะได้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการเท่าที่ฐานะทางเศรษฐกิจ ของพ่อแม่จะ อำนวย และไม่รู้จักอบรมลูกว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก อะไรควรอะไรไม่ควรปฏิบัติ ปล่อยให้ลูกทำตามใจตัวเองตามความพอใจ ผลเสียก็คือ เมื่อลูกออกสู่สังคมนอกบ้าน ก็จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ยาก ทำให้เกิดปัญหาในการปรับตัว เอาแต่ใจตัวเองและ ขาดความอดทน มีสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นที่ไม่ราบรื่น อันจะเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกมากมาย
อ่านต่อ >> “พ่อแม่ในแบบประเภทขี้วิตก และประเภทเจ้าระเบียบ” คลิกหน้า 2
4.ประเภทวิตกกังวลหวาดกลัวมากเกินกว่าเหตุ
พ่อแม่มักจะตีตนไปก่อนไข้ แสดงความวิตกกังวล ในตัวลูกมากเกินกว่าเหตุ เช่นกลัวว่าลูกจะได้รับอุบัติเหตุ ลูกจะถูกหลอกไป ไม่ค่อยยอม ให้ออกไปเที่ยวข้างนอกกลัวโดนแดดหรือกร่ำฝนจะไม่สบาย เวลาลูกไม่สบายเจ็บป่วยเพียงเล็กน้อยก็แสดงความวิตกกังวลมาก ย้ำถามย้ำปฏิบัติต่อลูก จนทำให้เด็กพลอยวิตกกังวลไปด้วย การเลี้ยงลูกแบบนี้จะทำให้ลูกเติบโตเป็นเด็กที่มีแต่ความวิตกกังวล หวาดกลัวห่วงใยในเหตุการณ์ต่างๆจนไม่มีความสุขและขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
5.ประเภทเจ้าระเบียบจัด
พ่อแม่แบบนี้จะเป็นคนระเบียบจัดต้องการให้ทุกอย่าง เรียบร้อย เป็นระเบียบถูกต้อง ทุกอย่างไม่รู้จักผ่อนปรนให้ ต้องคอยชี้แจงซ้ำซาก ตลอดเวลา ถ้าลูกทำไม่ได้ดังใจก็จะโกรธและตำหนิรุนแรงและคอยจุกจิกจู้จี้กับลูก แม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ การเลี้ยงลูกแบบนี้จะทำให้เด็กพัฒนาไปเป็นเด็กที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง และมีปมด้อย เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรดี ไม่มีความสามารถเพราะทำอะไรไม่เคยถูกใจพ่อแม่เลย
แบบไหนคือ “พ่อแม่” ที่ลูกปรารถนา?
สำหรับพ่อแม่ที่ลูกๆ ปรารถนา ควรเป็นพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกแบบสบาย ๆ ไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง ใช้ชีวิตอย่างพอดีๆ เข้มงวดบ้าง ผ่อนปรนบ้าง เปิดโอกาสให้ลูกได้เล่นอย่างอิสระ ได้คิด ได้ทำอะไรๆ ด้วยตัวเอง เมื่อเห็นลูกทำดี ทำอะไรสำเร็จตามวัยของลูก ก็แสดงความชื่นชม รู้ว่าจังหวะไหนควรสอน เช่น เวลาใดที่ลูกควรเรียนรู้อะไรใหม่ๆ
นอกจากนั้น เมื่อลูกผิดหวังหรือพบความเจ็บปวด ควรให้กำลังใจอย่างสุภาพอ่อนโยน ปลอบใจไม่ทับถม ที่สำคัญ เมื่อลูกทำผิด คิดพลาดก็ควรให้อภัย และไม่ควรขุดเอาเรื่อง หรือเหตุการณ์เก่าๆ ขึ้นพูดมาซ้ำย้ำรอยอีก เพราะถ้าพ่อแม่ไม่ให้อภัย ลูกก็จะไม่สามารถลุกขึ้นเริ่มต้นใหม่ได้เลย
ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาเด็ก กล่าวว่า “อยากบอกพ่อๆ แม่ๆ ทุกคน ว่า คำพูดและการกระทำของพ่อแม่นี่แหละ ที่ทำให้ลูกสัมผัสและรับรู้ถึงความรักได้มากที่สุดดีกว่าการพร่ำพูดว่ารักผ่านข้อความทางโทรศัพท์ หรือระบบดิจิตอลใดๆ ดังนั้น การให้เวลาที่ดี มีคุณภาพกับลูกเป็นเรื่องที่พ่อแม่ต้องให้ ก่อนที่อะไรๆ จะสายเกินแก้ เรื่องอย่างนี้ใครก็ทำแทนใครไม่ได้หรอก อยากได้ต้องลงมือ ลงใจทำเอง สำหรับลูกแล้ว พ่อแม่ต้องทำดี อย่าเดี๋ยว”
พ่อแม่ควรอบรมเลี้ยงดูลูกให้เหมาะสมกับความสามารถและวัยของเด็ก ไม่ควรใช้อารมณ์แต่ควรอบรมสั่งสอนลูกอย่างมีเหตุผล มีวินัยที่ดีแต่ต้องไม่เข้มงวดจนเกินไป และไม่ควรตามใจเด็กจนเกินไป หรือปล่อยปละละเลย จนเกินไป ควรให้ความรักอย่างเหมาะสมและมีเหตุผล ไม่ใช่รักมากอย่างไม่มีขอบเขต ตลอดจนพ่อแม่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กได้เลียนแบบ … หากทราบเช่นนี้แล้วก็อย่าลืมเช็คกับตัวเองว่าเราเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งหรือไม่ และร่วมหาทางแก้ไขเพื่อให้ครอบครัวได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขและไม่มีปัญหาในอนาคต
>>> มี quizzes สนุกๆ มาให้คุณพ่อคุณแม่ไว้เล่นกันสนุกๆ มาฝากด้วยค่า “คุณเป็นพ่อแม่แบบไหน?”
ทำแบบทดสอบนี้เพื่อหาคำตอบกัน! คลิกเลย
ที่มา : เว็บไซต์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล med.mahidol.ac.th