เราไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้อีกนานแค่ไหน สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของคนเป็นพ่อ เป็นแม่อย่างเราๆ ก็คือลูก คุณพ่อ คุณแม่หลายคนอาจเขินอาย ในการแสดงความรัก ไม่กล้าแสดงออกมาให้ลูกได้รับรู้ว่าเรารักเขามากแค่ไหน ซึ่งเป็น สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
เมื่อลูกโตขึ้น ความห่างเหินก็จะเริ่มเพิ่มทวีคูณ ลูกจะมีเพื่อนฝูง พบเจอสังคมใหม่ๆ ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ไม่ได้มีการสื่อสารกับลูกมากเท่าที่ควร อาจเกิดปัญหาที่คาดไม่ถึงตามมาได้เช่นกัน เรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และเก็บเกี่ยวความสัมพันธ์เหล่านี้เอาไว้ก่อนที่จะสายเกินไปกันดีกว่าค่ะ
1.ไม่เล่นโทรศัพท์มือถือเมื่ออยู่กับลูก
จากผลสำรวจของสวีเดน พบว่า เด็ก 33% ไม่พอใจที่พ่อแม่ติดโทรศัพท์ เมื่อคุณพ่อ คุณแม่กลับมาบ้าน หรือลูกน้อยกลับมาบ้านหลังเลิกเรียน ทุกคนในครอบครัวควรใส่ใจในการพูดคุย ถามทุกข์สุขของกันและกัน เด็กๆ จะชอบเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้พบเจอในโรงเรียนให้ฟัง และทำให้ลูกมีความสุข
2.ปิดทีวี และสื่อทุกชนิด
ช่วงเวลาในตอนเช้าเป็นเวลาของทุกคนในครอบครัว ให้กำลังใจลูกก่อนไปโรงเรียน และพบเจอกับเรื่องราวต่างๆ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการก้มหน้าอ่านหนังสือ เล่นโทรศัพท์มือถือ หรือดูทีวีระหว่างรับประทานอาหารเช้า แล้วหันมาพูดคุยกับลูก จะทำให้คุณพ่อ คุณแม่ เข้าใจในตัวลูกมากขึ้นด้วย
3.ให้เวลาช่วงก่อนนอนกับลูก
ช่วงเวลาก่อนนอน ก็เป็นอีกเวลาหนึ่งที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะกับเด็กเล็ก การที่ลูกน้อยได้ฟังนิทานก่อนนอน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้กับคุณพ่อ คุณแม่ และลูกๆ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ พัฒนาสมอง จินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ให้ลูกอีกด้วย
4.แสดงความรักให้ลูกเห็น
เด็กๆ จะรับรู้ความรักได้จากการสัมผัส ถ้าคุณพ่อ คุณแม่รู้สึกว่ามีความห่างเหินจากลูกมากเกินไปแล้ว ลองจับไหล่ แตะตัวลูกน้อยเบาๆ หรือกอด และหอมเขาเสมอ นอกจากนี้การสัมผัสยังช่วยลดพฤติกรรมก้าวร้าว และการปฏิเสธสังคม ลูกจะชอบเข้าหาคนอื่น และมีความสุขในการปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
5.ใช้เวลากับลูกให้มากที่สุด
ทำกิจกรรมกับลูกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกีฬา ทำอาหาร อ่านหนังสือ เล่นเกม หรือพูดคุยกับลูก ใช้เวลาอยู่กับลูก ทำให้เหมือนว่าคุณคือเพื่อนคนหนึ่งของเขา
อ่านต่อ “สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ 15 สิ่ง เพื่อให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่รักลูก” คลิกหน้า 2
6.ลงโทษด้วยความรัก
ยังมีพ่อแม่หลายคนที่เชื่อว่าการทำโทษ ด้วยวิธีรุนแรงนั้นจะช่วยให้ลูกหลาบจำ และไม่ทำซ้ำ แต่รู้หรือไม่ว่า มันกลายเป็นการสอนให้ลูกเรียนรู้ว่าความรุนแรงสามารถแก้ปัญหาความไม่เข้าใจกันได้ ซึ่งเป็นอันตรายกับลูกในอนาคตอย่างมาก จงลงโทษลูกน้อยอย่างมีเหตุผล และให้เขาเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นด้วยตัวเอง
7.ส่งข้อความขำขันหรือให้กำลังใจลูกน้อย
ส่งข้อความตลกๆ ให้ลูกบ้าง เพื่อให้ลูกผ่อนคลาย และช่วยลดความเครียดจากการเรียน หรือปัญหาเรื่องเพื่อนที่โรงเรียน เมื่อลูกมีปัญหาก็ควรให้กำลังใจ บอกให้ลูกเข้มแข็ง และต่อสู้กับอุปสรรค สอนให้ลูกรู้ว่าปัญหาทุกอย่างสามารถผ่านพ้นไปได้
8.มองตาลูกเสมอ
เมื่อต้องมีการสื่อสารกับลูก สิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ต้องทำอยู่เสมอคือการมองตา เขาว่ากันว่าตาคือหน้าต่างของหัวใจ ช่วยเสริมสร้างให้ลูกน้อยมีความมั่นใจ ทำให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่ตั้งใจที่จะพูดคุยกับลูก
9.ยิ้มให้บ่อยกว่าเดิม
คุณพ่อ คุณแม่หลายคนเครียดจากการทำงาน เหน็ดเหนื่อยจากการเลี้ยงลูก จนลืมที่จะมีความสุข การยิ้มให้ลูกบ่อยๆ จะทำให้ลูกอยากพูดคุยกับคุณพ่อ คุณแม่มากขึ้น และทำให้ลูกน้อยรู้สึกสบายใจ
10.จงเป็นตัวอย่างที่ดี
กี่ครั้งแล้ว ที่คุณพ่อ คุณแม่บอกกับลูกว่าอย่าทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ แต่กลับกลายเป็นคนทำเสียเอง เลิกเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แล้วทำตัวให้เป็นคนที่ลูกสามารถทำตามได้ แล้วลูกจะเป็นคนดีด้วยตัวของเขาเอง
อ่านต่อ “สิ่งที่พ่อแม่ควรทำ 15 สิ่ง เพื่อให้ลูกรู้ว่าพ่อแม่รักลูก” คลิกหน้า 3
11.ให้ลูกตัดสินใจอะไรเองบ้าง
ลองให้ลูกตักสินใจทำอะไรด้วยตัวเอง หรือเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ เช่น วันนี้จะใส่ชุดสีอะไร ออกไปกินข้าวร้านไหน ให้ลูกน้อยได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจร่วมกับคุณพ่อ คุณแม่ เพื่อให้เขารู้จักการตัดสินใจ และเป็นผู้นำ
12.เล่นกับลูกบ้าง
การยัดเยียดกิจกรรมด้านวิชาการให้ลูกมากเกินไป อาจทำให้ลืมช่วงเวลาพักผ่อนของลูกน้อย การเล่นสำหรับเด็กคือการผ่อนคลายความตึงเครียดจากการเรียน ลูกน้อยสามารถเรียนรู้ได้จากการเล่นได้เช่นกัน เล่นกับลูก แล้วทำให้ลูกหัวเราะ และมีความสุข
13.เข้าหาทันที เมื่อคุณเห็นว่าลูกไม่สบายใจ
ลูกอาจจะเจอคนแกล้งที่โรงเรียน วันนี้ถูกคุณครูดุ ลูกอาจจะไม่ได้บอกคุณหรอกค่ะ แต่เป็นหน้าที่ของคุณที่ต้องคอยสังเกตสิ่งที่ลูกเป็น
14.เก็บของขวัญที่ลูกให้
วันพ่อ วันแม่ ที่โรงเรียนบังคับให้ลูกทำ คุณต้องให้ความสำคัญกับมันนะ เก็บมันไว้ในที่ๆควรจะเป็น เพื่อแสดงออกว่าคุณให้ความสำคัญและไม่ได้ละเลยแม้แต่น้อย อ้อที่สำคัญ อย่าลืมขอบคุณลูกด้วยนะ
15.อย่าแทรกในเรื่องที่ลูกกำลังเล่า
เมื่อลูกของคุณเริ่มที่จะเล่าเรื่องอะไร อย่าขัดหรือแทรกลูก จนกว่าลูกจะเล่าจบ และควรมีปฏิสัมพันธ์กับเรื่องนั้นๆด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นเรื่องลอยผ่านไป
เครดิต: lifehack
Save
Save