AMARIN Baby And Kids – เพื่อลูกฉลาดและมีความสุข

[Mom diary แม่โอ] รักแม่ “ที่สุด” ในโลก

ไม่นานมานี้เปรมระลึกถึงพระคุณแม่เข้าขั้นลึกซึ้ง จนบรรยายว่า “รักแม่ที่สุด ไม่รู้จะอยู่ยังไงถ้าไม่มีแม่…” อืม… ฟังแล้วสัมผัสได้ถึงปริมาณความรักที่ลูกมีให้ แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่า สงสัยเราจะมาผิดทางซะแล้ว… ต้องรีบปรับทัศนวิสัยโดยด่วน เพื่อให้ความรักของแม่เป็นดั่งแรงส่งให้ลูกทะยานไปข้างหน้า แทนที่จะฉุดรั้งจนลูกไร้แรงแม้จะยืนด้วยตัวเอง

“แม่” คือ ตำแหน่งที่สั้นมาก แต่รั้งความยิ่งใหญ่ชนิดที่พ่อต้องแอบยืนค้อนอยู่อย่างเงียบๆ (อิๆ) ก็แหม… กว่าจะได้รางวัล “ที่หนึ่งในใจลูก” มาครอบครองหลายสมัย แม่ก็ต้องพิสูจน์ความรักด้วยการอุ้มชูลูกในท้องเป็นเวลาเก้าเดือน อดหลับอดนอน ดูแลใกล้ชิด และปรากฏตัวอยู่ในเกือบทุกกิจกรรมชีวิตของลูกน้อยตั้งแต่วันแรกที่เขาลืมตา…

ด้วยเหตุนี้จักรวาลน้อยๆ ของลูกจึงมีแม่เป็นดั่ง “ดวงอาทิตย์” ที่เปล่งแสงอันอบอุ่น และแผ่แรงดึงดูดสุดแสนมั่นคงปลอดภัย ลูกจึงใช้ชีวิตไร้กังวลเมื่ออยู่ในวงโคจรของแม่ จึงไม่แปลกที่วูบหนึ่งลูกอาจรู้สึกว่าหากวันหนึ่งไร้ซึ่งแสงอาทิตย์แล้ว โลกใบน้อยของเขาจะหมุนต่อไปได้อย่างไร…

ที่เห็นว่าเริ่มไม่เข้าทีก็เพราะ ดิฉันนึกไม่ถึงเลยว่า กิจกรรมชีวิตของลูกที่ไม่ค่อยได้พบปะสังคมอื่นนอกจากญาติใกล้ชิด โดยมีแม่เต็มเวลาคนนี้เป็นทั้งเพื่อนเล่นและเป็นทุกอย่าง จะทำให้ลูกมองเอกภพอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เหลือเพียงแค่ระบบสุริยจักรวาลอันประกอบไปด้วยแม่ แม่ และ แม่เท่านั้น… แต่! ข้อดีของอาชีพแม่ก็คือ แม้จะผิดพลาด หรือไม่ผ่านโปร เราก็มีโอกาสแก้ตัวและเริ่มต้นใหม่เสมอ ฮ่าๆๆ! เอาล่ะ…ได้เวลาผ่อนคลายแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์กันแล้วค่ะ

ก่อนปริมเปรมจะเข้าอนุบาล ดิฉันมีเพื่อนบ้านแสนสวยและใจดีคนหนึ่ง เธอมักนำซุปอร่อยๆ มาฝาก และพาลูกสาววัยใกล้เคียงมาเล่นด้วย สิ่งที่ดิฉันประทับใจแต่ลืมทำตามอย่างน่าเสียดายก็คือ บางครั้งเธอไม่ได้นั่งเล่นด้วยกัน แต่จะปล่อยให้ลูกของเธอมาเล่นกับปริมเปรมอย่างอิสระ เมื่อครบเวลาแล้วจึงมารับกลับบ้าน… “การหายตัวไปของแม่” ระหว่างที่ลูกได้เล่นอย่างมีความสุขนั้น คือ วิธีสอนอย่างเป็นรูปธรรมให้ลูกมั่นใจว่า แม้ “ไม่มีแม่” เขาก็ปลอดภัย และสามารถ “อยู่ได้ดีด้วยตัวเอง” โดยไม่ต้องกลัวว่าจะโดนทิ้ง เพราะเดี๋ยวแม่ก็มารับ คุณแม่ที่มีลูกยังเล็ก ลองใช้วิธีนี้ดูก็ได้ค่ะ นอกจากเปิดโอกาสให้ลูกได้ฝึกปรับตัวกับสังคมแล้ว ยังเสริมสร้างความมั่นใจให้โลกของลูกอีกด้วย

สำหรับคุณแม่ที่เลยป้ายนั้นมานานแล้ว (อย่างดิฉัน แหะๆ) ยังยูเทิร์นทันค่ะ ลองเพิ่มกิจกรรมชีวิตที่เปิดโอกาสให้ลูกได้ “ขยายวงโคจร” และ “ค้นพบจักรวาลใหม่ๆ” ด้วยตัวเองดูสิคะ… ปริมสนใจเรียนดนตรีและเลือกกีตาร์คลาสสิก ส่วนเปรมขอเรียนเทนนิส…ตอนแรกทั้งคู่อยากเรียนด้วยกัน แต่หลังจากใช้ชีวิตกับลูกแฝดมาเป็นเวลาสิบปี ดิฉันมั่นใจว่า บางครั้งการปล่อยให้ลูกแต่ละคนได้ “โคจรอย่างอิสระ” โดยไร้ซึ่ง “ดาวแฝดบริวาร” มาหมุนรอบๆ จะทำให้โลกของเขาฉายฉานได้สวยงามกว่า… ความคิดนี้ถูกตอกย้ำอีกครั้ง เมื่อมีโอกาสได้คุยกับลูกแต่ละคนในต่างวาระ ทั้งคู่ยอมรับว่าอยากมีความสามารถพิเศษที่แตกต่างและไม่เหมือนอีกคน ดิฉันจึงตัดสินใจให้เรียนคนละอย่าง โดยบอกว่า ถ้าตั้งใจเรียนครบหนึ่งปีแล้ว จะพิจารณาให้เรียนเสริมอีกอย่างได้… ความเพียร และการอดทนรอคอย เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนนะจ๊ะ

จากตอนแรกที่กลัวๆ กล้าๆ เพราะต้องไปเรียนคนเดียวโดยไม่มีเปรม และไม่มีแม่รอหน้าห้อง ปริมก็สามารถก้าวข้ามความกลัว และกลับมาเล่าให้ฟังว่าสนุกกับการเรียนกีตาร์ขนาดไหน ปริมรู้สึกภูมิใจที่ได้เล่าเรื่องราวและแบ่งปันประสบการณ์ใหม่ที่เพิ่งค้นพบ… ส่วนเปรมเองก็เพลิดเพลินกับโลกเทนนิส โลกที่มีเขากับครูในคอร์ท ตีข้ามบ้าง ติดเน็ตบ้างแต่ไร้ซึ่งความกังวลว่า ต้องทำให้ดีกว่าอีกคน เปรมอยู่ในโลกของตัวเองได้อย่างเต็มเท้า และไม่ร้องขอให้แม่มาเชียร์ข้างสนามเหมือนเก่า… ความมั่นใจในโลกที่มีตัวเขากับจักรวาลใหม่ๆ ที่ห่างไกลแรงดึงดูดของแม่นี่เอง จะทำให้เขากล้าผละจากวงโคจรเดิมๆ และทะยานสู่จักรวาลกว้างไกลด้วย “แรงส่งของตัวเอง” เมื่อถึงวันนั้น แม่ทุกคนย่อมสุขใจและพร้อมส่องแสงวิบๆ เป็นกำลังใจอยู่ห่างๆ แม้ลูกจะมองเห็นหรือไม่ก็ตาม…

 

จากคอลัมน์ Mom Diary นิตยสารเรียลพาเรนติ้ง ฉบับเดือนสิงหาคม 2558

เรื่องโดย : คุณชิดชนก ทองใหญ่ ณ อยุธยา

ภาพ : Shutterstock