ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม คุณแม่ท้องสามารถเบิกเพิ่มได้แล้วนะคะ คุณแม่บ้านไหนกำลังท้องแล้วยังไม่ได้ฝากครรภ์เตรียมตัวเลย เพราะล่าสุดมีการลงมติจ่ายเพิ่ม ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม เพื่อแม่ๆแล้ว รอเลยเริ่มอนุมัติ 1 พฤษภาคมนี้
ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม เบิกเพิ่มได้แล้ว
เรียกว่าเป็นข่าวดีสำหรับคุณแม่ๆที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ในช่วงนี้เลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึง มติคณะกรรมการประกันสังคมและที่ปรึกษา (ชุดที่ 13) ครั้งที่ 2 /2561 ว่ามีมติเห็นชอบปรับปรุงสิทธิประโยชน์ กรณีคลอดบุตร เพื่อจูงใจให้ผู้ประกันตนหรือคู่สมรสมีการฝากครรภ์ตามเกณฑ์คุณภาพ โดยสนับสนุน ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม เพิ่มเติมในกรณีเข้ารับบริการฝากครรภ์ ณ สถานพยาบาล ซึ่งปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้จ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตรให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 13,000 บาท ต่อการคลอดบุตรหนึ่งครั้ง โดยมติคณะกรรมการฯ เห็นชอบให้สนับสนุนค่าตรวจ และ ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม เพิ่มเติมอีก 1,000 บาท ให้แก่ผู้ประกันตนที่มีการเข้ารับบริการฝากครรภ์ในสถานพยาบาลตามเกณฑ์คุณภาพที่กำหนด คือ
- ครั้งแรก อายุครรภ์ไม่เกิน 12 สัปดาห์ จ่ายในอัตรา 500 บาท
- ครั้งที่สอง อายุครรภ์มากกว่า 12 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 20 สัปดาห์ จ่ายในอัตรา 300 บาท
- ครั้งที่สาม อายุครรภ์มากกว่า 20 สัปดาห์ แต่ไม่เกิน 28 สัปดาห์ จ่ายในอัตรา 200 บาท
ซึ่งแนวทางในการขอรับประโยชน์ทดแทน ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม นั้น จะต้องมีหลักฐานการเข้ารับบริการจากสถานพยาบาลที่ไปใช้บริการฝากครรภ์ในแต่ละครั้ง และสามารถยื่นขอรับประโยชน์ทดแทนในส่วนค่าตรวจ และรับฝากครรภ์เพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องรอให้มีการคลอดบุตร ทั้งนี้ การดำเนินการอยู่ระหว่างการยกร่างประกาศคณะกรรมการการแพทย์ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อเป็นของขวัญ วันแรงงานแห่งชาติ ซึ่งทางสำนักงานประกันสังคมย้ำว่า ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาปรับปรุงสิทธิประโยชน์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของวิทยาการทางการแพทย์ รวมถึงยังต้องมีการปฏิรูประบบการให้บริการ เพื่อให้ผู้ประกันตนได้รับบริการทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึง มีคุณภาพและลดความเหลื่อมล้ำเท่าเทียม เพื่อจะนำไปสู่การยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวมของประเทศอย่างยั่งยืนอีกด้วย
เงื่อนไขในการได้รับ ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม มีเกณฑ์อย่างไรบ้าง?
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
เงื่อนไข สิทธิประกันสังคมของคนท้อง มีเกณฑ์อย่างไรบ้าง?
คุณแม่บางท่าน โดยเฉพาะคุณแม่มือใหม่ อาจจะยังมีความสงสัยว่า หากเป็นผู้ประกันตน ประกันสังคม จะได้รับสิทธิประโยชน์ ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม อย่างไรกันบ้างค่ะ มาดูรายละเอียดกันค่ะ
หลักเกณฑ์ ในการได้รับสิทธิประโยชน์ ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม
- ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 เดือน ภายใน 15 เดือนก่อนเดือนคลอดบุตร
- จ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่าย กรณีคลอดบุตรให้แก่ผู้ประกันตนในอัตรา 13,000 บาท/การคลอดบุตรหนึ่งครั้ง สำหรับผู้ประกันตนหญิงมีสิทธิ์รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วันสำหรับการใช้สิทธิบุตรคนที่ 3 จะไม่ได้รับสิทธิเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 90 วัน
- กรณีสามี และภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ให้ใช้สิทธิในการเบิกค่าคลอดบุตรฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่จำกัดจำนวนบุตร/ครั้ง
การพิจารณาสั่งจ่าย
เงินสด หรือ เช็ค (ผู้มีสิทธิ์มาขอรับด้วยตนเอง หรือมอบอำนาจให้บุคคลอื่นมารับแทน) ส่งธนาณัติให้ผู้ประกันตน โอนเข้าบัญชีธนาคารตามบัญชีของผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน
เอกสารประกอบการยื่นคำขอประโยชน์ทดแทน กรณีคลอดบุตร
- แบบคำขอรับประโยชน์ทดแทน สปส. 2-01 ผู้ประกันตนกรอกข้อความครบถ้วน พร้อมลงลายมือชื่อผู้ยื่นคำขอ
- สำเนาสูติบัตรบุตร 1 ชุด (กรณีคลอดบุตรแฝดให้แนบสำเนาสูติบัตรของคู่แฝดด้วย)
- สำหรับผู้ประกันตนชาย ให้แนบสำเนาทะเบียนสมรส กรณีไม่ได้จดทะเบียนสมรสให้แนบหนังสือรับรองของผู้ประกันตนกรณีไม่มีทะเบียนสมรส
- สำเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารประเภทออมทรัพย์หน้าแรก ซึ่งมีชื่อและเลขที่บัญชีของผู้ยื่นคำขอมี 11 ธนาคาร ดังนี้
- ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
- ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
- ธนาคารออมสิน
หมายเหตุ หากผู้ขอรับประโยชน์ทดแทน ไม่เห็นด้วยกับการสั่งจ่าย ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ซึ่งคุณแม่สามารถยื่นเรื่องได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่/สำนักงานประกันสังคมจังหวัด และสาขา ที่สะดวก (ยกเว้นสำนักงานใหญ่ในบริเวณกระทรวงสาธารณสุข)
การฝากครรภ์สำหรับคุณแม่ สำคัญอย่างไร?
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่
ความสำคัญของการฝากครรภ์
การฝากครรภ์ เป็นเรื่องสำคัญสิ่งแรกที่คุณแม่ต้องนึกถึงค่ะ เพราะเป็นการดูแลสุขภาพครรภ์ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ไปจนถึงก่อนคลอด โดยคุณแม่ที่เริ่มตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เพื่อฝากครรภ์ทันที และเข้ารับการตรวจครรภ์ตามที่แพทย์นัดอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว แพทย์จะให้ข้อมูลหรือคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพครรภ์อย่างถูกต้อง และตอบข้อสงสัยของคุณแม่ท้องได้ดี
ประโยชน์ของการฝากครรภ์
- เพื่อตรวจสอบดูว่าการตั้งครรภ์เป็นปกติหรือไม่ เพราะแพทย์จะช่วยวินิจฉัยโรคบางอย่างที่เกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ที่อาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่และลูกน้อยได้ เช่น ภาวะครรภ์เป็นพิษ โรคโลหิตจาง ซิฟิลิส ติดเชื้อเอดส์ หรือโรคที่อาจเกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์อื่นๆ รวมทั้งตรวจดูว่าท่านอนของลูกน้อยในครรภ์ดูผิดปกติหรือไม่ หากผิดปกติจะได้ป้องกันแก้ไขได้ทัน หรือถ้าพบว่าภาวะโลหิตจาง จะได้ทำการหาสาเหตุ และใช้ยาบำรุงเลือดให้เข้มข้นมากขึ้น หรือเตรียมการช่วยเหลือได้ทันท่วงที
- ฝากครรภ์เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับทารกในครรภ์ การฝากครรภ์นั้นสามารถช่วยลดอัตราการแท้งบุตร การคลอดลูกก่อนกำหนด และลูกเสียชีวิตในท้อง รวมถึงยังช่วยป้องกันการอักเสบติดเชื้อในตัวลูกน้อยได้ด้วย
- ป้องกันการเกิดอาการแทรกซ้อนในระหว่างการตั้งครรภ์ ถ้าหากมีโรคแทรกซ้อนแพทย์จะช่วยให้เกิดอันตรายน้อยที่สุด ติดเชื้อน้อยที่สุด หรือเสียเลือดน้อยที่สุด เพื่อให้การตั้งครรภ์ จนถึงการคลอดเป็นไปอย่างปกติมากที่สุด เป็นต้น
- ช่วยดูแลทารกในครรภ์ ทำให้ลูกน้อยในครรภ์เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ แข็งแรง และมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสม
- ช่วยในการส่งเสริมสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณแม่ แพทย์ที่รับฝากครรภ์จะให้คำแนะนำ และตอบคำถามเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติในระหว่างการตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และการปฏิบัติตน ซึ่งคุณแม่สามารถสอบถามหรือให้แพทย์ตรวจได้ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ คุณแม่ก็จะได้รู้สึกปลอดภัยและสบายใจมากขึ้นค่ะ
ฝากครรภ์ คุณแม่ต้องเตรียมตัวอย่างไร?
การฝากครรภ์ควรเริ่มตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ เพื่อวางแผนการมีบุตรอย่างปลอดภัย โดยผู้ตั้งครรภ์ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเป็นประจำ ผู้ที่มีประวัติป่วยเป็นโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หอบหืด ความดันโลหิตสูง ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ อาการแพ้ต่างๆ โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือซึมเศร้า รวมทั้งผู้ที่มีคู่ครองหรือบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรมและมีเชื้อพาหะ ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ โดยแพทย์ที่ควรไปพบเพื่อให้ช่วยดูแลสุขภาพตลอดการตั้งครรภ์นั้น ได้แก่
- สูติแพทย์ คือผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพครรภ์และคลอดบุตร โดยสูติแพทย์จะช่วยดูแลผู้ตั้งครรภ์ที่มีปัญหาสุขภาพรวมทั้งผู้ที่เสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ สตรีตั้งครรภ์ความเสี่ยงสูงจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์
- พยาบาลผดุงครรภ์ คือ ผู้ที่ช่วยดูแลระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอดบุตร โดยพยาบาลผดุงครรภ์นั้นต้องได้รับการฝึกฝนและขึ้นทะเบียนรับรอง นับเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสตรีมีครรภ์ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำในการเกิดปัญหาระหว่างตั้งครรภ์และการคลอดบุตร
- ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลอดบุตร คือ ผู้ที่ช่วยให้สตรีมีครรภ์คลอดบุตรได้ง่าย โดยจะทำงานร่วมกับพยาบาลผดุงครรภ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการคลอดบุตรจะแนะนำเรื่องการหายใจ การผ่อนคลายร่างกาย การขยับร่างกาย และตำแหน่งของร่างกาย
การตรวจครรภ์ตามนัด
คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเข้ารับการฝากครรภ์กับแพทย์ โดยแพทย์จะนัดตรวจครรภ์ตลอดช่วงที่ตั้งครรภ์ ไปจนถึงตอนก่อนคลอด ซึ่งการนัดตรวจแต่ละครั้งมีรายละเอียด ดังนี้
- นัดตรวจครั้งแรก เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ควรพบแพทย์ โดยแพทย์จะนัดตรวจครั้งต่อไปตามตารางนัดที่ให้แก่คุณแม่ การตรวจครรภ์ครั้งแรกมีรายละเอียด เช่น
♦ ให้ข้อมูลและประวัติการรักษา เบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติผู้ป่วย ได้แก่ วันแรกของการมีรอบเดือน ครั้งล่าสุด ประวัติการป่วยของบุคคลในครอบครัว การใช้ยาหรือรับประทานอาหารเสริมของผู้ตั้งครรภ์ ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ตั้งครรภ์เอง ทั้งนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับวันที่รอบเดือนมานั้นจะช่วยคำนวณวันคลอดบุตรได้ โดยแพทย์จะนำวันแรกของรอบเดือนครั้งล่าสุดมาบวกเพิ่มอีก 7 วัน แล้วนับย้อนหลังไปอีก 3 เดือน ซึ่งวันครบกำหนดคลอด จะกินเวลาประมาณ 40 สัปดาห์นับตั้งแต่วันสุดท้ายที่มีประจำเดือน
♦ ตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเริ่มจากชั่งน้ำหนัก และวัดส่วนสูง เพื่อประเมินระดับความยากง่ายในการคลอดธรรมชาติ ทั้งนี้ แพทย์ยังนำน้ำหนักมาเปรียบเทียบดูว่า คุณแม่ตั้งครรภ์มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นตลอดการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสมหรือไม่ และต่อมาแพทย์จะวัดสัญญาณชีพจร รวมทั้งตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ปากและฟัน เต้านมและหัวนม หรือตรวจคลำหน้าท้อง เพื่อดูปัญหาสุขภาพอื่นๆ นอกจากนี้ แพทย์จะตรวจช่องคลอดและปากมดลูก การเปลี่ยนแปลงของปากมดลูกและขนาดมดลูกจะช่วยระบุอายุครรภ์ให้ชัดเจนมากขึ้น สตรีมีครรภ์อาจต้องรับการตรวจภายใน เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วย
♦ ตรวจเลือด เมื่อเข้ารับการตรวจครรภ์ครั้งแรก แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อนำไปวินิจฉัยหมู่โลหิตระบบอาร์เอช ฮีโมโกลบิน, การติดเชื้อของระบบภูมิคุ้มกัน, ตรวจคัดกรองภาวะซีดและพาหะโรคธาลัสซีเมีย, ไวรัสตับอักเสบบี, ซิฟิลิส, เชื้อเอชไอวี, ตรวจปัสสาวะ และการติดเชื้ออื่นๆ
- นัดตรวจครั้งต่อไป หลังจากเข้ารับการตรวจครรภ์ครั้งแรกแล้ว แพทย์จะนัดตรวจครั้งต่อไป โดยการตรวจครรภ์แต่ละครั้ง แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงอายุครรภ์ 4 – 28 สัปดาห์ ช่วงอายุครรภ์ 28 – 36 สัปดาห์ และช่วงอายุครรภ์ 36 ไปจนถึงครบกำหนดคลอด ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
♦ 4-28 สัปดาห์ ของอายุครรภ์ แพทย์จะนัดตรวจครรภ์เดือนละครั้ง โดยแพทย์จะชั่งน้ำหนัก และวัดสัญญาณชีพจร ตรวจร่างกาย เจาะเลือด ตรวจปัสสาวะ และทำอัลตราซาวน์ เพื่อประเมินอายุครรภ์ในกรณีที่ผู้ตั้งครรภ์ไม่สามารถจำรอบเดือนครั้งล่าสุดได้ชัดเจน ทั้งนี้ คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถซักถามข้อสงสัย หรือปรึกษาปัญหาต่างๆ กับแพทย์ได้ เมื่ออายุครรภ์ครบ 18-20 สัปดาห์ แพทย์จะอัลตราซาวน์อีกครั้งเพื่อประเมินความผิดปกติของทารก
♦ 28-36 สัปดาห์ ของอายุครรภ์ คุณแม่ตั้งครรภ์ควรมาพบแพทย์เดือนละ 2 ครั้ง แพทย์จะตรวจความดันโลหิต และสัญญาณชีพจร ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง รวมทั้งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาต่างๆกับคุณแม่ตั้งครรภ์ ทั้งนี้ แพทย์จะฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก คอตีบ และไอกรนให้ด้วย
♦ 36 สัปดาห์ ไปจนถึงครบกำหนดคลอด คุณแม่ตั้งครรภ์มาพบแพทย์สัปดาห์ละครั้ง หากผู้ตั้งครรภ์อายุมากกว่า 35 ปี หรือมีความเสี่ยงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพครรภ์สูง อาจจำเป็นต้องมารับการตรวจบ่อยกว่านั้น เบื้องต้น แพทย์จะตรวจความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก ฟังการเต้นของหัวใจทารก และดูอาการดิ้น ซึ่งคุณแม่ตั้งครรภ์ควรบันทึกความถี่เมื่อรู้สึกว่าทารกในครรภ์ดิ้นด้วย และแพทย์จะตรวจภายในให้คุณแม่ตั้งครรภ์เมื่อถึงวันกำหนดคลอด เพื่อดูว่าลักษณะของปากมดลูกเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับคลอดบุตรหรือไม่ โดยปากมดลูกจะอ่อนนุ่มขึ้น และค่อย ๆ ขยายออกกว้างและบางลง ปากมดลูกจะขยายกว้างถึง 10 เซนติเมตร และหดลงเมื่อคลอดทารกแล้ว
คุณแม่ๆจะเห็นได้ว่า การฝากครรภ์เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณแม่ท้องมากๆเลยค่ะ เพราะนั่นหมายถึงสุขภาพและความปลอดภัยของทั้งคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์ ยิ่งตอนนี้มีการเพิ่ม ค่าฝากครรภ์ ประกันสังคม แล้วเพราะฉะนั้น คุณแม่ๆเมื่อรู้ว่ากำลังตั้งท้อง ก็อย่าลือไปฝากครรภ์กันไว้ด้วยนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก pptvhd36 / medthai / สำนักงานประกันสังคม
อ่านต่อบทความที่น่าสนใจ
แม่ท้องระวัง ไข้มาลาเรีย เป็นแล้วอันตรายถึงชีวิตทั้งแม่และลูก
รวม 5 เมนูสตรอเบอรี่ สูตรเด็ดเพื่อแม่ท้อง
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ในสตรีมีครรภ์ เรื่องที่คุณแม่ท้อง ต้องระวัง
คนท้องกินช็อกโกแลตได้ไหม อันตรายกับลูกในท้องหรือไม่
คนท้องดื่มชาเขียวได้ไหม? ดื่มมากไป เสี่ยงแท้ง จริงหรือ?
คนท้องดื่มน้ำขิงได้ไหม? เสี่ยงแท้งจริงหรือ?
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่