ผมเคยเขียนเรื่อง โรคซึมเศร้า ลงในนิตยสาร Amarin Baby & Kids มาแล้ว ขอเอามาปรับแต่งและลงอีกรอบเพราะช่วงนี้ข่าวคราวนักเรียนนักศึกษาพาเลือกตัดสินใจจากโลกใบนี้ไปด้วยการฆ่าตัวตายเข้ามาถี่จนน่าตกใจ และโรคซึมเศร้า ทั้งที่รู้ตัวและแฝงก็เป็นหนึ่งในสาเหตุหลัก
เมื่อก่อนเวลาที่เราได้ยินคำว่า โรคซึมเศร้า เราจะนึกถึงภาพคนในวัยทำงาน ที่มีความเครียดและปัญหาต่างๆ รุมเร้า หรือผู้สูงวัยที่ปรับตัวกับชีวิตบั้นปลายไม่ได้ แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีพัฒนาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแต่ human touch กลับเดินสวนทาง ทุกวันนี้เราจึงเห็นข่าวคนอายุน้อยลง ตัดสินใจจากโลกนี้ไป เพราะ โรคซึมเศร้า ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกเล็กต้องหันมาสนใจการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดขึ้นกับลูกเราเสียแล้ว
ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้คุณพ่อคุณแม่อดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังว่าลูกเพื่อนเก่งกว่าลูกเราตรงไหน เทคโนโลยที่ทันสมัยจนทำให้เรารู้สึกว่าสัมผัสเสมือนนั้นเพียงพอแล้ว และความเพลิดเพลินกับหน้าจอที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่รู้สึกว่า การปล่อยลูกไว้ตรงนั้น ทำให้มีเวลาไปจัดการสิ่งอื่นได้บ้าง แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นต้นเหตุของช่องว่างระหว่างคุณพ่อคุณแม่และคุณลูก ผมเคยเขียนไว้ว่า ‘อย่าให้ช่องว่างกว้างกว่าอ้อมกอด’ และนั่นคือวิธีที่จะทำให้ลูกไม่เป็น โรคซึมเศร้า
4 คาถาเลี้ยงลูกไม่ให้เป็น โรคซึมเศร้า
1. ปล่อยให้เด็กได้เติบโตเรียนรู้แบบเด็ก
วิธีที่ทำให้เด็กได้เรียนรู้แบบมีความสุข คือ การเล่น ซึ่งการเล่นในที่นี้หมายถึง การได้เคลื่อนไหวร่างกาย การได้สัมผัสกับโลก ไม่ใช่การเล่นเกมส์ผ่านหน้าจอ (ผมไม่ได้แอนตี้เทคโนโลยี ทุกวันนี้ปูนปั้นก็ได้ดูบ้างตามที่ตกลงกันก่อน ดูในสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่เขาชอบ ในระยะเวลา 5-10 นาทีตามที่ตกลงกัน เพราะเขาโตพอแล้ว เช่น ดูคลิปการ์ตูนสอนเรื่องยานพาหนะต่างๆ) และไม่ใช่การเรียนรู้ผ่านห้องสี่เหลี่ยม สำหรับปูนปั้นทุกวันหยุดจะเป็นวันของเขา ปูนปั้นจะได้ เล่นยิม เรียนว่ายน้ำ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เขาไปดูแล้วขอเรียน (เล่น) เอง นอกจากนั้นปูนปั้นจะได้ขี่จักรยาน รดน้ำต้นไม้ อาบน้ำสุนัข ขุดทราย เอาชอล์กขีดพื้น หรืออะไรก็ตามที่เขาอยากเล่น รวมไปถึงการท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เพื่อเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เคยมีคุณครูเคยมาถามผมว่า ส่งลูกไปติวที่ไหน เพราะคุณครูเห็นว่าปูนปั้นเป็นเด็กที่พร้อมเรียนรู้ แต่เราไม่เคยแม้จะคิดส่งปูนปั้นไปติวที่ไหนเลย ผมไม่เคยเปรียบเทียบลูกตัวเองกับใคร เพราะเด็กทุกคนมีความถนัดต่างกัน แต่เขาจะค่อยๆ เรียนรู้ไปทันกันเมื่อเขาพร้อมทั้งกายและใจ และความพร้อมไม่ได้มาจากการส่งไปติว แต่มาจากความสนุกที่พร้อมจะเรียนรู้ ที่ทำให้เขาไม่เครียดไม่กดดันก่อนวัยอันควร
อ่านต่อ>> คาถาป้องกันโรคซึมเศร้า >> คลิก
2. ความเข้าใจ
คำพูดของคุณย่าเจ้าปูนปั้นที่ผมมักนำมากล่าวถึงเสมอคือ ‘เด็กเขาพูดรู้เรื่อง เราน่ะเข้าใจเขาหรือเปล่า’ ทุกครั้งที่รู้สึกว่าลูกดื้อ ผมนึกถึงสิ่งที่คุณแม่ผมพูดเสมอและพยายามใช้เวลาพูดทำความเข้าใจกับเขา ตะล่อมถาม เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่เขาคิด ยกตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งปุ่มเครื่องซักผ้าถูกเจ้าปูนปั้นไปปรับโดยเราไม่ได้สังเกต มาสงสัยเอาเมื่อปั่นไม่เสร็จสักที จึงได้ไปดูหน้าเครื่อง แล้วเราก็เรียกปูนปั้นถามว่า ‘ไปกดเครื่องซักผ้าใช่มั้ยครับ’ ปูนปั้นตอบกลับมาหน้าจ๋อยว่า ‘เปล่าครับ’ แต่เรารู้ว่าปูนปั้นทำ เพราะเราอยู่กันเพียง 4 คนพ่อแม่ลูก แวบแรกกำลังจะโกรธว่า ทำไมปูนปั้นโกหก แต่สติเล็กๆ ทำให้เราเลือกที่จะตั้งคำถามใหม่ และปรับอารมณ์ให้อ่อนโยน ‘ปูนปั้นไปเล่นเครื่องซักผ้าใช่มั้ยครับ’ เมื่อเราไม่ดุ ใบหน้าเขาคลายกังวลลง และตอบว่า ‘ใช่ครับ’ เราถามต่อว่า ‘แล้วทำไมทีแรกปูนปั้นตอบว่าเปล่าครับ’ ปูนปั้นตอบกลับมาว่า ‘ปูนปั้นไม่ได้กดอะไรเลยครับ ปูนปั้นหมุนอันนี้’ เห็นมั้ยครับว่าเด็กเขาคุยรู้เรื่อง การพูดคุยกันแบบนุ่มนวล แทนที่จะดุลูกเสียงดัง ตะคอก หรือ สั่ง ช่วยลดความกังวลของลูก ทำให้ช่องว่างไม่เกิด และ ลูกจะกล้าพูดคุย เล่าปัญหาต่างๆ ให้เราฟัง เมื่อเขารู้ว่าเราพร้อมจะเข้าใจเขา เขาก็พร้อมที่จะสื่อสารกับเรา และความเศร้าจะเกิดได้อย่างไร
3. อ้อมกอดและบอกรัก
สองสิ่งนี้คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้กับลูกได้ฟุ่มเฟือยเท่าที่คุณต้องการ เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และสร้างความมั่นใจ แม้กระทั่งทุกครั้งปรับความเข้าใจกันเสร็จ เราจะจบด้วยการกอดกันเสมอ ซึ่งนี่คือวัคซีนชั้นดีที่ปกป้องลูกจากอาการซึมเศร้า ถ้าคุณได้กอดลูก บอกรักลูกบ่อยๆ สิ่งที่เขาทำตอบกลับมา จะทำให้เราอยากจะทุ่มเทเวลาให้เขา ซึ่งนั่นจะทำให้สามารถทำ 2 ข้อข้างบนได้ดี ทุกคืนก่อนจะหลับตานอน ปูนปั้นจะสลึมสลือหันมาโอบคอปะป๊าแล้วพูดว่า ‘Papa krub, I love you so much. I love you all the time’ ใจไม่อ่อนก็ให้รู้ไป
4. ความสัมพันธ์ของพ่อและแม่
เรื่องนี้ก็มีความสำคัญไม่น้อย ครอบครัวที่ทะเลาะกันรุนแรง พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อยให้ลูกเห็น จะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของลูก ทำให้ขาดความเชื่อมั่น ขาดที่พึ่ง และอาจจะไม่เชื่อในสถาบันครอบครัว เด็กก็จะเก็บตัว เก็บกด ในที่สุดก็จะนำไปสู่โรคซึมเศร้า ดังนั้นหากมีข้อขัดแย้งจริงๆ ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก
จำไว้ 2 ประโยคหลักใช้เตือนตัวเอง 1) อย่าให้ช่องว่างกว้างกว่าอ้อมกอด และ 2) เด็กเขาพูดรู้เรื่อง เราน่ะเข้าใจเขาหรือเปล่า
>>แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่เฟซบุ๊ค
หมุนรอบลูก – พี่ปูนปั้น กับ น้องปั้นแป้ง นะครับ<<
บทความน่าสนใจอื่นๆ
แชร์ประสบการณ์ ฝึกวินัยการกินให้ลูก กินข้าวตรงเวลา
“สุภาษิตสอนพ่อแม่” รับมือ ลูกต่อต้าน โดย พ่อเอก
เลี้ยงลูกให้ เก่ง ดี มีสุข ไปกับเรา คลิกติดตามที่