สิทธิการรักษาพยาบาลที่ทุกคนรู้จักกันดีในชื่อว่า “ สิทธิบัตรทอง ” นั้น บางคนอาจเคยได้ใช้ แต่หลายๆ คนก็ไม่เคยใช้ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาก็อาจมีหลายคำถามที่เกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับสิทธิต่างๆในการใช้บัตรทอง … ดังนั้น Amarin Baby & Kids จึงได้รวบรวมคำถามที่คนอยากรู้มากที่สุด 10 ข้อ เกี่ยวกับบัตรทองมาไว้ที่นี่แล้ว เผื่อว่าวันไหนคุณพ่อคุณแม่อาจจำเป็นต้องใช้ขึ้นมา จะได้ทราบว่าสิทธิบัตรทองนั้นมีประโยชน์ และข้อจำกัดในการใช้อย่างไรบ้างค่ะ
1. สิทธิบัตรประกันสุขภาพ, สิทธิบัตรทอง และสิทธิ 30 บาท แตกต่างกันอย่างไร?
ทั้ง 3 สิทธิเป็นสิทธิชนิดเดียวกัน แตกต่างกันแค่ชื่อเรียกเท่านั้น โดยเป็นสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุข เช่น การรักษาพยาบาล การป้องกันโรคสำหรับบุคคลที่ไม่มีสิทธิประกันสังคม หรือสวัสดิการของข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ
เริ่มแรกเรียกสิทธินี้ว่า สิทธิ 30 บาท เพราะเป็นนโยบาย 30 รักษาทุกโรค บัตรจะเป็นกระดาษอ่อนธรรมดา ต่อมาได้ออกเป็นบัตรสีเหลืองทองเคลือบพลาสติก จึงเรียกว่าสิทธิบัตรทอง และปัจจุบันอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นที่มาของสิทธิบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้านั่นเอง
2. ประชาชนทุกคนสามารถใช้สิทธิบัตรทองได้ใช่หรือไม่?
คนไทยทุกคนที่มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และไม่มีสิทธิประกันสังคม หรือสวัสดิการของข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้
3. หากจะใช้สิทธิบัตรทองต้องทำอย่างไร?
- กรณีใช้สิทธิที่หน่วยบริการที่มีสิทธิอยู่สามารถนำบัตรประชาชนของตนเองไปติดต่อที่โรงพยาบาล หรือ ศูนย์บริการสาธารณสุขได้เลย
- กรณีใช้สิทธิข้ามเขตจะใช้สิทธิได้ในกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต โดยใช้สิทธิได้ 3 วัน (72 ชั่วโมง)
4. สามารถเช็คสิทธิรักษาพยาบาลได้ที่ไหนบ้าง?
- ติดต่อด้วยตนเองที่ สถานีอนามัย / โรงพยาบาลของรัฐใกล้บ้าน หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สำหรับในกทม.สามารถติดต่อสำนักงานเขตของกทม.ได้
- ระบบโทรศัพท์อัตโนมัติ โทร. 1330 กด 2 (ค่าบริการครั้งละ 3 บาท)
- เว็บไซต์ www.nhso.go.th
- App สิทธิ 30 บาท ทั้งระบบ IOS และ Android
5. สิทธิบัตรทองคุ้มครองค่าใช้จ่ายประเภทใดบ้าง?
- บริการวางแผนครอบครัว ได้แก่ ให้คำแนะนำปรึกษาคู่สมรส บริการคุมกำเนิด
- การคลอดบุตร รวมกันไม่เกิน 2 ครั้ง (กรณีที่บุตรมีชีวิตอยู่)
- ดูแลสุขภาพหญิงมีครรภ์ ทารกแรกเกิด พัฒนาการของเด็ก
- วัคซีนเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคตามนโยบายรัฐ
- คัดกรองความเสี่ยง เช่น ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ตรวจมะเร็งปากมดลูก / มะเร็งเต้านม
- ยาต้านไวรัสเอดส์เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
- บริการทันตกรรม
- การตรวจ วินิจฉัย และรักษา โรคทั่วไปเช่น ไข้หวัด จนถึงโรคเรื้อรัง / โรคเฉพาะทางเช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง(เช่น ผ่าตัด, ฉายแสง, เคมีบำบัด) ไตวายเรื้อรัง(เช่น ล้างไตผ่านทางช่องท้อง, ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม, ผ่าตัดปลูกถ่ายไต) เอดส์ ผ่าตัดตา ต้อกระจก ผ่าตัดหัวใจ เป็นต้น รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพตามข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
- ค่ายาและเวชภัณฑ์ ตามกรอบบัญชียาหลักแห่งชาติ และยาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ตามประกาศของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
- ค่าอาหารและค่าห้อง ระหว่างพักรักษาตัว ณ หน่วยบริการ
- การจัดการส่งต่อผู้ป่วย
- บริการแพทย์แผนไทย
- บริการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ เช่น กายภาพบำบัด จิตบำบัด พฤติกรรมบำบัด กิจกรรมบำบัด ฟื้นฟูการได้ยิน / การมองเห็น และรับอุปกรณ์เครื่องช่วยตามประเภทความพิการได้ตามเกณฑ์ที่ สปสช.กำหนด
อ่านต่อ >> “ข้อควรรู้เมื่อต้องการใช้สิทธิบัตรทอง” คลิกหน้า 2
6. กรณีไหนบ้างที่ไม่สามารถใช้สิทธิบัตรทองได้?
- รักษาภาวะมีบุตรยาก / ผสมเทียม
- เปลี่ยนเพศ / การกระทำใดๆ เพื่อความสวยงามโดยไม่มีข้อบ่งชี้จากแพทย์
- การตรวจวินิจฉัย และรักษา ที่เกินความจำเป็นจากข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
- การรักษาที่อยู่ระหว่างค้นคว้าทดลอง
- การบาดเจ็บจากการประสบภัยจากรถ เฉพาะส่วนที่บริษัท หรือกองทุนตามกฎหมายนั้นต้องเป็นผู้จ่าย
- การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาและสารเสพติดยกเว้นผู้ติดเฮโลอีนที่สมัครใจเข้ารับการรักษา และไม่ต้องโทษคดียาเสพติด ให้ได้รับสารทดแทนยาเสพติด (เมทาโดน) จากหน่วยบริการที่ขึ้นทะเบียนได้
- โรคเดียวกันที่ต้องรักษาในฐานะผู้ป่วยในเกินกว่า 180 วันยกเว้น กรณีต้องรักษาต่อเนื่องจากภาวะแทรกซ้อนหรือข้อบ่งชี้ทางการแพทย์
- การเปลี่ยนอวัยวะ (Organ Transplantation) ยกเว้น การปลูกถ่ายหัวใจ , ปลูกถ่ายไตในผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย และปลูกถ่ายตับในเด็ก(อายุไม่เกิน 18 ปี) ที่เป็นโรคท่อน้ำดีตีบตันแต่กำเนิด
7. สามารถใช้สิทธิบัตรทองในโรงพยาบาลเอกชนได้หรือเปล่า?
สามารถใช้สิทธิได้ 2 กรณี คือ
- กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต หมายถึง ผู้ป่วยที่มีอาการที่กระทบต่ออวัยวะสำคัญ ได้แก่ หัวใจ, สมอง, ลมหายใจ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ เช่น หัวใจหยุดเต้น , หอบรุนแรง , มีอาการเขียวคล้ำ , หมดสติไม่รู้สึกตัว , สิ่งแปลกปลอมอุดกั้นหลอดลม , มีอาการวิกฤตจากอุบัติเหตุ , มีเลือดออกมากห้ามไม่หยุด , ภาวะขาดน้ำรุนแรง , แขน / ขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดลำบาก , ชัก , มีอาการวิกฤตจากไข้สูง , ปวดท้องรุนแรง เป็นต้น โดยสามารถเข้าได้ทุกโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และไม่ต้องสำรองจ่าย
- กรณีรักษาแพทย์เฉพาะทาง จำเป็นต้องติดต่อแจ้งความจำนงกับโรงพยาบาลที่จะขอใช้สิทธิก่อนว่าสามารถใช้สิทธิได้หรือไม่ แล้วแต่กรณีไป
8. หากอยู่ต่างจังหวัด แต่อยากใช้สิทธิบัตรทองกับโรงพยาบาลรัฐใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯ จะต้องทำอย่างไรบ้าง?
กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตสามารถใช้สิทธิได้เลย แต่หากจะรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคตับ โรคหัวใจ จำเป็นต้องมีใบส่งตัวผู้ป่วยจากโรงพยาบาลที่มีสิทธิอยู่
9. ย้ายบ้านโดยไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้าน แต่อยากจะย้ายหน่วยบริการ หรือโรงพยาบาลที่จะใช้สิทธิ สามารถทำได้หรือไม่?
สามารถทำได้ โดยนำบัตรประชาชนไปติดต่อด้วยตนเองที่หน่วยบริการ, โรงพยาบาลที่ต้องการใช้สิทธิ หรือสำนักงานเขตกทม.ในวันเวลาราชการ และสามารถเปลี่ยนสิทธิได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปีงบประมาณ (1 ต.ค. -30 ก.ย.ของปีถัดไป)
10. หากใช้สิทธิบัตรทอง คุณภาพยาและการรักษาที่ได้รับจะเหมือนหรือเท่าเทียมกับการจ่ายเงินหรือเปล่า?
มาตรฐานการรักษาพยาบาล และยาที่ใช้จะเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ถ้าคุณใช้บริการคลินิกนอกเวลาราชการ หรือคลินิกพิเศษ ที่ต้องจ่ายเงินเอง ก็อาจให้ความสะดวกและรวดเร็วในการใช้บริการมากกว่า
สำหรับผู้ที่ไม่มีสิทธิประกันสังคม, สวัสดิการของข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐอื่นๆ การใช้สิทธิประกันสุขภาพ / สิทธิบัตรทอง ก็ถือเป็นสวัสดิการที่รัฐมอบให้ เพื่อช่วยประหยัดค่ารักษาพยาบาลไปได้มาก
อ่านต่อ >> “วิธีขั้นตอนการทำบัตรทอง” คลิกหน้า 3
อยากได้บัตรทอง ต้องทำอย่างไรบ้าง
ผู้มีสิทธิในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สามารถติดต่อลงทะเบียนทำบัตรได้ที่
- ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลของรัฐที่อยู่ใกล้บ้าน
- กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ สำนักงานเขตที่อยู่ใกล้บ้านหรือที่ศูนย์บริการหลักประกันสุขภาพ ชั้น M สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ อาคารจัสมินอินเตอร์เนชั่นแนล 200 ม.4 ถ.แจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 11120 โทร 1330
ใช้หลักฐานดังนี้
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรที่มีรูปถ่ายที่ทางราชการออกให้ ที่มีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก และมีรูปถ่ายติดอยู่
- สำเนาสูติบัตร ในกรณีเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี
- สำเนาทะเบียนบ้านที่ผู้ขอมีชื่ออยู่
- กรณีที่พักอาศัยไม่ตรงกับทะเบียนบ้าน ให้แสดงหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งที่แสดงว่าตนเองมีถิ่นที่อยู่หรือพักอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆดังนี้
- สำเนาทะเบียนบ้านของบุคคลที่ผู้ขอลงทะเบียนไปพักอาศัยอยู่ พร้อมหนังสือรับรองของเจ้าบ้าน
- หนังสือรับรองของผู้นำชุมชน ซึ่งรับรองว่าผู้ขอลงทะเบียน พักอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นๆ พร้อมสำเนาบัตรผู้นำชุมชนของผู้รับรอง
- ใบเสร็จรับเงินค่าสาธารณูปโภค(ต่าน้ำหรือค่าไฟหรือค่าโทรศัพท์)หรือใบเสร็จรับเงินค่าเช่าที่พัก หรือสัญญาค่าเช่าที่พัก ที่ระบุชื่อของผู้ขอลงทะเบียน
- บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าเดิม(กรณีที่ขอเปลี่ยนหน่วยบริการประจำ)
- หนังสือมอบอำนาจกรณีไม่สามารถยื่นคำร้องขอลงทะเบียนด้วยตนเองพร้อมสำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
ทั้งนี้ การเลือกหน่วยบริการประจำหลักๆจะยึดตามพื้นที่อยู่อาศัยจริงค่ะ เนื่องจากโครงการฯยึดหลักการ ใกล้บ้านใกล้ใจ ทำให้หน่วยบริการสามารถดูแลผู้มีสิทธิได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้มีสิทธิเองด้วยค่ะ เมื่อมีการเจ็บป่วยจะสามารถรับบริการจากหน่วยบริการใกล้บ้านได้และจะได้รับการดูแลกรณีส่งเสริมสุขภาพด้วยนะคะ
จากข้อมูลเบื้องต้น Amarin Baby & Kids ก็หวังว่าสิทธิการรักษาพยาบาลนี้จะทำให้คุณพ่อคุณแม่และประชาชนทุกกลุ่มเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้อย่างทั่วถึง และครอบคลุมการรักษาได้มากที่สุดนะคะ
อ่านต่อบทความน่าสนใจ คลิก!!
ฝากครรภ์ฟรี! คลอดบุตรฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.eldercareinthai.com , www.gotoknow.org