เคยได้ยินเรื่องการสแกนลายนิ้วมือดูบุคลิกภาพความสนใจ และความถนัดไหมครับ? ผมได้ยินครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ยังไม่แต่งงาน เพื่อนที่ทำงานชวนไปตรวจดูเพื่อจะได้รู้ว่างานที่เราทำมันเหมาะกับความชอบและความถนัดของเราหรือเปล่า? แต่พอได้ยินค่าใช้จ่ายเท่านั้นแหละ ผมเลยบอกปฏิเสธไป (แหม่! มันก็หลายตังค์อยู่นะ)
พอปูนปั้นลูกชายผมอายุได้ขวบกว่า ภรรยาของผมก็ชวนไปฟังเรื่องนี้ เพราะจะได้ลองสแกนฟรี (บางนิ้ว) ผมก็เตรียมใจไปก่อนแล้วว่าต้องเสียเงินแน่นอน (..แหม่ก็เล่นสแกนบางนิ้ว คนมันก็ต้องอยากรู้ทุกนิ้ว) แต่ผมเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผลจากการสแกนนิ้วจะบอกอะไรเกี่ยวกับปูนปั้น
หลักการมีอยู่ว่าลายนิ้วมือแต่ละนิ้วจะบอกลักษณะความคิด ความถนัด ความชอบได้ เมื่อสแกนครบทั้ง 10 นิ้ว คอมพิวเตอร์จะคำนวณค่าออกมา เพื่อบอกลักษณะการเรียนรู้ของคนนั้นๆ เช่น ชอบภาษา ชอบวิทยาศาสตร์ ลักษณะบุคลิก เช่น การเข้าสังคม ชอบปลีกวิเวก บอกความถนัดทางด้านดนตรี กีฬา ไปจนถึงวิธีการเรียนรู้ เช่นบางคนชอบเรียนรู้โดยการอ่าน บางคนชอบทดลอง ชอบสัมผัส เป็นต้น
ซึ่งในประเทศเราตอนนี้ก็มีหลายสถาบันที่ให้บริการเรื่องการตรวจศักยภาพสมองจากการสแกนนิ้ว โดยจะมีซอฟต์แวร์อ่านผลจากลายนิ้วมือแต่ส่วนที่สำคัญอีกอย่างคือ คนที่จะแปลผลนั้นออกมาให้เราเข้าใจอย่างชัดเจน เพื่อจะได้นำไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุงเจ้าตัวเล็กให้ถูกต้อง
ผมเองมีความสงสัยอยู่ว่าการสแกนนิ้วมันสามารถบอกอะไรได้จริงหรือ แต่เมื่อผลสแกนนิ้วของปูนปั้นออกมาแล้ว ผมพอใจในระดับหนึ่ง ผู้อ่านผลถามว่าว่า “คุณพ่อหรือคุณแม่ มีคนใดคนหนึ่งที่ทำงานด้านที่เกี่ยวกับตัวเลข คำนวณมากๆ หรือไม่ เพราะลายนิ้วมือปูนปั้นแสดงผลด้านเรื่องชอบการคำนวณมากๆ” ซึ่งคำตอบคือ ปะป๊าจบด้านวิศวกรรมศาสตร์มา ชอบคำนวณและยังมีผลอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น
- ผลออกมาชี้ว่า ปูนปั้นเป็นเด็กเรียนรู้ภาษาได้เร็ว เมื่อเทียบกับอายุ ก็ดูจะเข้าเค้ากับผลการอ่านลายมือ
- ปูนปั้นมีมนุษยสัมพันธ์ดีชอบเข้าสังคม แต่ช่วงแรกจะใช้เวลาศึกษาก่อน เมื่อรู้สึกไว้ใจถึงจะลดช่องว่างลง ซึ่งก็คล้ายกับบุคลิกที่เราเห็นว่า เวลาพาไปเข้ากลุ่มปูนปั้นจะยิ้มไหว้ ทักทายได้ แต่จะใช้เวลาสักพักกว่าจะกลืนเข้าไปในกลุ่ม ตรงนี้ช่วยให้เราเข้าใจ และคลายความกังวลเล็กๆลงได้ จะได้ไม่ต้องพยายามผลักดันให้เข้ากลุ่มไวไว เพียงแต่ให้เวลาเขาศึกษาสิ่งแวดล้อมสักพัก เดี๋ยวเขาจัดการเองได้
หรืออีกอย่างที่เราคิดว่าผลออกมาน่าสนใจ คือ เราคิดไว้ว่าจะไม่ให้ลูกเรียนพิเศษวิชาการแต่จะให้เขาเรียนกิจกรรมที่เป็นสันทนาการต่างๆ แต่ก็อยากให้ลองเรียนเต็มไปหมด ทั้ง ดนตรี กีฬา ศิลปะ และอื่นๆ จนตัดสินใจไม่ถูก ซึ่งผลสแกนออกมาในแนวว่าปูนปั้นชอบเรียนรู้จากการลงมือทำมากกว่าจากการเรียนในห้องเรียน ดังนั้นใส่กิจกรรมพวกนั้นเข้ามาได้เต็มที่เลย แล้วปล่อยให้เขาค่อยๆ เลือกตัดออกไปเองหลังจากที่เรียนรู้แล้ว เป็นต้น
มีผลรายละเอียดอีกมาก แต่เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนตัวขออนุญาตไม่นำมาเล่าทั้งหมด ขอนำเสนอในแง่มุมกว้างๆ เพื่อเป็นประโยชน์ให้กับคุณพ่อคุณแม่ที่กำลังหาข้อมูลตัดสินใจ มีทั้งที่ผมเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่โดยภาพรวมๆ อาจจะบอกแนวทางในการสอนลูกได้บ้างว่าลูกชอบเรียนรู้ด้วยวิธีไหน เราจะได้สอนเขาด้วยวิธีนั้น
อีกทั้งค่าใช้จ่าย ก็สูงพอสมควร ดังนั้นถ้าไม่สะดวก ก็อย่าไปกังวล เพราะผมเชื่อว่าถ้าเราได้คลุกคลีอยู่กับลูกมากๆ ความรักความเข้าใจที่มีให้เจ้าตัวเล็กก็จะบอกได้เองฮะว่า เขาชอบอะไร และจะส่งเสริมอะไร ที่ที่แน่ๆไม่ต้องสแกนนิ้ว เจ้าปูนปั้นชอบหม่ำตาบั๊กมากกกก
ติดตามเรื่องราวความน่ารักของครอบครัวน้องปูนปั้นได้ในคอลัมน์ FAMILY BLOGGER : www.real-parenting.com ได้ทุกสัปดาห์
แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่
www.facebook.com/Poonpun.Poonpoon นะครับ
บทความและภาพโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)