เพื่อนๆ ที่เคยแวะเข้าไปชมเพจของลูกผม (https://www.facebook.com/Poonpun.Poonpoon) จะมีความรู้สึกอย่างหนึ่งคือแอบดีใจเวลาเห็นปูนปั้นร้องไห้ บางคนถึงกับคอมเมนต์ว่า “ร้องไห้แล้วยังน่ารัก” ฮ่าฮ่าฮ่า จะพูดว่าผมดีใจคงไม่ถูกนัก แต่พี่ป้าน้าอา คงไม่ค่อยได้เห็นรูปเจ้าปูนปั้นร้องไห้เพราะส่วนใหญ่จะยิ้มแป้นหน้าเป็นซะมากกว่า
จริงๆ แล้วแม้เจ้าปูนปั้นจะยิ้มง่าย ยิ้มเยอะ ยิ้มเรี่ยราด แต่ก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไป งอแง ร้องไห้ ดื้อ ซน เพียงแต่เขาร้องไห้ ก็จะแค่สั้นๆ ถ่ายรูปไม่ค่อยทัน ไม่เหมือนตอนหัวเราะหรือยิ้ม เพราะพอเรารู้ว่าชอบอะไร เราก็เล่นซ้ำเดี๋ยวก็ยิ้มหัวเราะให้เราถ่ายรูป แถมไม่เลิกง่ายๆ ด้วย แต่ถ้าจะให้หม่าม๊า ปะป๊า ทำในสิ่งที่ จะทำให้ปูนปั้นร้องไห้ซ้ำ เพื่อถ่ายรูป คงไม่ไหว ฮ่าฮ่าฮ่า
ในตอนนี้ ก็เลยอยากมาเล่าให้ฟังว่าทำไม ปูนปั้นร้องไห้ ไม่ง่ายเท่าหัวเราะ และ ร้องแล้วทำอย่างไรให้หยุดง่าย เผื่อเอาไปลองใช้กับเจ้าตัวเล็กที่บ้านกันนะครับ
เล่นเอง เจ็บเอง ไม่ต้องโทษใคร ไม่ต้องร้องไห้
เวลาที่เขาเล่นของเล่น หรือ เล่นซนอะไรก็ตามแล้ว เกิดอุบัติเหตุให้เสียน้ำตา เราจะบอกเขาว่า “หนูเล่นเอง หนูเจ็บเอง ไม่มีใครแกล้งหนูใช่มั้ย ดังนั้นหนูเล่นเอง หนูเจ็บเอง หนูก็ต้องหยุดร้องไห้เอง แล้วหนูต้องจำไว้ ครั้งหน้าหนูจะได้ไม่เจ็บอีก”
เราจะไม่เคยใช้วิธี เอามือไปตีของสิ่งนั้น แล้วบอกลูกว่า “นี่แหนะ ปะป๊าตีเจ้านี่ที่ทำหนูเจ็บแล้ว” เราไม่เชื่อว่านั่นเป็นวิธีที่ถูก เพราะไปให้เขาโทษสิ่งอื่น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตามเพราะเราไม่อยากให้เขาโตมาแบบโทษดินฟ้าโทษอากาศ
ล้มเอง ก็ต้อง ลุกเอง
นอกจากการเล่นเอง เจ็บเอง หยุดเอง …. การล้มเอง ผมก็จะปล่อยให้เขาลุกเอง ผมมองสองเรื่องนี้ต่างกัน เพราะข้างบน ‘ผมกำลังสอนให้เขารักและเคารพสิ่งของ เคารพธรรมชาติ’ แต่ การวิ่งแล้วล้ม เขาทำมันด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะวิ่งเร็วไป วิ่งไม่ระวังแล้วลื่น เมื่อเขาล้ม ผมจะไปใกล้ๆเค้าแล้วบอกว่า “ปูนปั้น หนูเป็นเด็กผู้ชายที่แข็งแกร่ง หนูล้มเอง หนูต้องลุกเอง”
ครั้งแรกๆ ที่เขาเพิ่งเดินได้ใหม่ๆ พอล้มแล้วบอกให้ลุกเอง อาจจะอิดออดบ้าง แต่ผมก็จะพูดสอนเค้า โดยนั่งยองๆลงข้างๆ สอนเค้าจนกระทั่งเค้ายอมลุกเอง
เมื่อสักเดือนที่แล้วที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เจ้าปูนปั้นคึกคักมาก ที่ลานกว้างๆ ไม่มีคน เจ้าปูนปั้นก็วิ่งๆหัวเราะๆ แล้วก็หกล้ม ต้องเรียกว่าล้มไม่เป็นท่าเลยนะครับ พี่ รปภ. ท่านนึงก็รีบวิ่งเข้ามา ด้วยความเอ็นดู (เพราะพี่เขายิ้มให้เจ้าตัวป่วนตอนวิ่งเล่น ไปหัวเราะไปอยู่สักพักแล้ว ) ผมก็ตะโกนรีบบอกพี่เขาแบบยิ้มๆว่า “ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวเขาลุกเอง” แล้วเจ้าปูนปั้นก็ลุกเอง พี่ รปภ. ท่านนั้นยิ้มแล้วก็หัวเราะกับผมแล้วพูดว่า “เก่งจัง ไม่ร้องเลยหรอ” ไม่ใช่แค่ไม่ร้อง เจ้าตัวป่วนยังวิ่งต่อ และพอวิ่งวนมาถึงพี่ รปภ. อีกครั้ง ผมบอกให้“สวัสดีครับขอบคุณคุณลุงด้วย”
วันนั้น ปูนปั้นล้มไป 3 ครั้ง นอกจากพี่ รปภ. ก็มีคนที่มาเดินห้าง ที่ต้องตกใจอีก 2 กลุ่มแต่พอเห็นเจ้าตัวป่วนลุกเอง ก็กลับหันมา ยิ้มให้ปะป๊า พร้อมคำว่า เก่งจังอย่างที่ผมบอกครับว่าผมมอง 2 เรื่องนี้ต่างกัน การที่ผมสอนให้ล้มเองลุกเอง ผมกำลังสอนให้เขา ‘เคารพตัวเอง’(แต่ถ้าเขาล้มบนพื้นเจ็บแบบมีถลอก ผมก็จะแค่ยื่นมือให้เขาจับ ให้เขาใช้เกาะลุกขึ้น เพื่อปลอบประโลมเท่านั้นเอง แต่เอาจริงๆ นะฮะ น่าจะเคยสักครั้งเดียวมั้งครับ) ทำโทษ เมื่อจำเป็น แต่บอกเหตุผล ก่อนทำโทษ
เวลาผมจะทำโทษเขา เช่น ผมจะสอนให้เขาไม่โยนของเล่น แต่ถ้าวันไหนเขาโยน ผมก็จะเตือนเขาก่อนว่า “ปะป๊าเคยสอนหนูว่าอย่าโยนของใช่มั้ยครับ” แต่ถ้าเตือนแล้วเขายังทำซ้ำอีก ผมก็จับมือเขามา แต่ก่อนจะตีมือ ผมจะพูดกับเขาก่อนว่า “ปูนปั้น ปะป๊าสอนหนูไม่ให้โยนของเล่น เพราะจะทำให้ของเล่นเสีย แต่หนูดื้อ ดังนั้นปะป๊าจะทำโทษตีมือหนูนะครับ” แล้วผมก็ตี ตีให้พอรู้สึกว่า ทำโทษ ไม่ต้องขนาดให้เจ็บอะไรมากมาย แต่ไม่ใช่แค่แปะๆนะฮะ
ทำโทษเสร็จก็รีบ บอกเขาว่า “ไม่ต้องร้องไห้”
เด็กอะนะครับ โดนตีปุ๊บหน้าจะเริ่มเบะออก (ผมเดาว่า คุณพ่อคุณแม่กำลังทำปากเบะตามใช่มั้ยครับ เพราะตอนผมพิมพ์ผม งง ทำไมต้องทำปากเบะไปด้วย 555) พอปูนปั้นเบะ เราก็จะเบะตามไปด้วยอะสิฮะ ผมก็จะรีบพูดกับเขา ทันทีว่า “ไม่ต้องร้องไห้นะ ปะป๊าทำโทษเพื่อสอนหนู ปะป๊าไม่ได้ชอบทำโทษหนู” และถ้าเบรกทัน เรารู้แล้วว่าเขาเข้าใจว่าทำโทษเรื่องอะไร เราก็ชวนเขาทำกิจกรรมอื่นๆ ต่อ และที่สำคัญที่สุดและผมไม่ลืมที่จะต้องทำทุกครั้ง คือในการจบกระบวนการ ผมจะตบท้ายด้วยการกอดและพูดกับเจ้าปูนปั้นว่า“ปะป๊ารักหนูนะ”
ด้วยสิ่งที่เราทำทั้งหมด เป็นประจำ ทุกครั้ง เขาจะมีเหตุผลมากขึ้น อืมมมม … หรือบางทีเขาอาจจะนึกว่าจะร้องไห้ทำไมหว่า ร้องไปก็ไม่ปลอบ 555 เขาเลยไม่ค่อยร้อง พอร้องพูดกับเขาอย่างที่ผมเล่าให้ฟัง แป๊บเดียวก็หยุด มาขำแทน
ก็มีบางครั้งที่ เจ้าปูนปั้น งอแงมากๆ ร้องไห้โลกแตก หม่าม๊ากับปะป๊า ถามว่า “จะเอาอะไรอยากทำอะไร” ก็สื่อสารกันไม่รู้เรื่องจะงอแงอย่างเดียว เราก็จะใจแข็ง ปล่อยให้ร้องไห้ไป ส่วนเราก็เดินไปทำอย่างอื่น เราก็ต้องใจแข็งปล่อยให้หยุดร้องเองก็ค่อยคุย
แต่เด็กก็คือเด็กครับ เพราะเมื่อเขาร้องได้สักพัก พอหยุด เขาไม่เหลือความโกรธอะไรค้างแล้ว พอเขาเดินมาเห็นเรา เจ้าปูนปั้นจะพูดว่า “จ้ะเอ๋”คุณโกรธไม่ลงหรอกครับ เพราะมันจะจบด้วยเสียงกร้าก เมื่อเรากร้าก เขาก็กร้ากตาม แล้วเราก็จะพาไปล้างหน้า ถามว่าหนูอยากทำอะไรความสุขมันง่ายๆ แค่นี้เองครับ
อย่างที่ผมเคยเขียนไปว่า ผมจะพูดภาษาอังกฤษกับเขาตลอดเวลา ดังนั้นผมจะพูดกับเขาเรื่อยๆ เวลาสอนและให้กำลังใจเจ้าปูนปั้น You are a boy and a boy doesn’t cry easily. /You are the strong boy and you are my Little Prince. / Papa punished you only the things that Papa already taught you but you are ดื้อดื้อ. / Papa loves you. Papa loves you so much.
ผมอยากให้เขารู้ว่า“ผมรักเขามากขนาดไหน ทุกครั้งที่ปะป๊าทำโทษ ปะป๊าจ๋อยทุกครั้งทุกครั้งที่ปะป๊าไม่ปลอบ ปะป๊าก็อยากร้องไปกับหนูเหมือนกัน”อีกสิ่งหนึ่งที่ผมภูมิใจคือ เวลาเขาร้องไห้แล้วปะป๊าเข้าไปปลอบ เดี๋ยวนี้เขาจะพูดขึ้นเองว่า
“Strong Boy” ทั้งน้ำตาแล้วน้ำตาเขาก็จะหยุดไหล
ปล. เด็กก็คือเด็กนะฮะ ใช้เหตุผลยังไง เรื่องร้องไห้บ้านแตก โลกแตกก็ต้องมีบ้าง ถ้าใช้แล้วได้ผล เล่าให้ผมฟังบ้างนะฮะ
แวะไปดู รอยยิ้มหวานฉ่ำ ที่มีแจกฟรีทุกวันได้ที่
บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)