พอเจ้าปูนปั้นอายุสักขวบครึ่ง ก็ได้สร้างความกดดันในการใช้ชีวิตให้กับปะป๊า หม่าม๊า อีกครั้ง จากที่เคยพูดอะไร เล่นอะไรทำอะไรสบายใจ ต้องระวังซะแล้วว่าเจ้าปูนปั้นอยู่ใกล้ๆ เราหรือป่าว เพราะใครจะเชื่อว่าเจ้าตัวป่วนได้แปลงกายเป็นเครื่องอัดเสียงชั้นยอด และ จอมเลียนแบบชั้นเยี่ยมซะแล้ว
ผมจำไม่ได้ว่าคุณหมอและนักวิจัย ท่านได้ให้ความรู้ตามหลักวิชาการว่า เด็กจะเริ่มเลียนแบบตอนอายุกี่ขวบ แต่เจ้าปูนปั้น เองเริ่มประมาณขวบกว่าๆ แก่แดดแก่ลมซะจนปะป๊าหม่าม๊าเพลียใจกันไปหลายหนแล้ว ขอเอาเรื่องการเลียนแบบของเจ้าปูนปั้นมาเล่าให้อ่านกันเพลินๆ และหวังว่าจะทำให้คุณพ่อคุณแม่ยิ้มกันได้นะฮะ
เลียนแบบคำพูด
วันก่อนเราสามคนไปเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้า ผมหยิบสินค้าชิ้นหนึ่งขึ้นมาดู ขณะนั้นพนักงานที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เดินเข้ามาบริการและแจ้งราคาว่า “พันสองคะ” … ไวดั่งกามนิตหนุ่ม มีเสียงเอ็คโค่ตามมาว่า “ปังจ๋อง” ทำเอาปะป๊าหวันขวับไปมองหน้าหม่าม๊าพร้อมกับเสียง “เฮ้ย” (แล้วเราก็ขำกับ ซึ่ง แน่นอนเจ้าตัวป่วนก็หัวเราะสนุกตามเรา)
เรื่องต่อมาครับ เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ระหว่างทางขับรถกลับบ้าน ปะป๊าขับรถอยู่แล้วก็บ่นรถคันหนึ่งที่ขับปาดเข้ามาด้วยคำสบถติดปาก (ไม่ใช่คำด่า แต่ก็ไม่สุภาพ – อันนี้ตัวอย่างที่ไม่ดีนะครับ) ผลก็คือเจ้าปูนปั้นก็ออกเสียงคำนั้นตาม คราวนี้ทำให้ปะป๊าขำไม่ออกหันหน้าไปขอโทษหม่าม๊าว่าจะระวังคำพูดกว่านี้
เลียนแบบท่าทาง
ห้องนั่งเล่นนั่งดูทีวีในบ้านเราจะมีพัดลมตั้งพื้นตัวสูง ซึ่งสวิทช์เปิดปิดจะอยู่ที่ฐานของพัดลม ดังนั้นตั้งแต่ก่อนมีเจ้าปูนปั้น ปะป๊าก็ติดนิสัยเวลาจะกดสวิทช์เปิดปิดพัดลม ปะป๊าก็ใช้เท้ากด (เพราะลักษณะมันเหมือนกับที่ไฟตั้งพื้นตามโรงแรม แบบที่สวิทช์เปิดปิดจะอยู่ที่พื้น ให้เราใช้เท้ากด) ตอนที่เจ้าปูนปั้นยังตัวเล็กกว่านี้ หรือเพิ่งหัดเดินใหม่ๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่มาวันหนึ่ง ปะป๊า หม่าม๊าก็ต้องตกใจครับ เพราะตอนที่ปะป๊าหม่าม๊านั่งพักผ่อนกันอยู่นั้น เจ้าปูนปั้นก็เดินไปใช้เท้าเหยียบปุ่มปิดพัดลมเล่น ซะอย่างนั้น
อีกเรื่องที่จะเล่าให้ฟังนะครับ ตอนเย็นคุณยายจะรับหน้าที่ขับรถไปรับเจ้าปูนปั้นกลับบ้านจากที่เนอร์สเซอรี่ พอเจ้าปูนปั้นเห็นคุณยายก็วิ่งปรู๊ดออกมาหาด้วยความดีใจตามปกติ แต่วันนั้นพอเจอคุณยายปุ้บ เจ้าปูนปั้นก็ทำท่าตบมือแปะๆ ตอนแรกคุณยายก็ไม่รู้ว่าเจ้าปูนปั้นทำอะไร นึกว่าวันนี้มีสอนร้องเพลง แต่พี่ที่เนอร์สเซอรี่ซึ่งเห็นท่าทางเจ้าปูนปั้นตบแปะๆ ก็ขำ แล้วเดินมาเล่าให้คุณยายฟังว่า วันนี้เจ้าปูนปั้นเห็นพี่เลี้ยงเอามือตบยุง ก็เลยมาทำอวดคุณยายบ้าง
เลียนแบบทั้งคำพูดและท่าทาง
ด้วยเหตุนี้ หม่าม๊ากับผมจึงไม่ดูทีวี ในเวลาที่เจ้าตัวป่วนยังไม่หลับ เพราะเกรงจะเรียนรู้อะไรที่ไม่ดี แต่ก็ยอมรับว่ามีบางรายการที่เราดูพร้อมเจ้าปูนปั้นอยู่บ้าง ซึ่งไม่ใช่ละครและเกมส์โชว์ทั้งหลายแน่นอน ฤทธิ์การเลียนแบบจากทีวีก็เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายนฟุตบอลโลกมีนัดที่ทีมญี่ปุ่นแข่งตอนเช้า พอบอลเริ่มแข่ง เจ้าปูนปั้นที่นั่งตักผมก็ส่งเสียงพร้อมท่าทางว่า “เตะเลย” จริงๆ อันนี้อาจจะไม่ใช่ผลจากการเลียนแบบ เพราะผมสอนเจ้าปูนปั้นเตะบอลลูกเล็กๆกับผมในบ้าน เวลาจะเตะบอลเจ้าปูนปั้นก็จะพูดว่า “เตะเลย” แต่ก็อยากให้ระวังว่าทีวีมันมีอิทธิพลต่อเด็กตัวเล็กๆ จริงๆ นะฮะ หม่าม๊ากับผมตกลงกันว่าเราจะไม่ให้เขาดูทีวีจนกว่าจะอายุ 2 ขวบเต็ม (ซึ่งตอน 2 ขวบเต็มก็ไม่ได้แปลว่าจะปล่อยให้ดูเยอะๆนะครับ) ซึ่งผลดีคือเมื่อไม่มีทีวี เจ้าปูนปั้นก็ไม่ถูกอะไรดึงดูดความสนใจ ของเล่นที่ดีที่สุดของเขาก็เลยเป็นพ่อกับแม่ เหมือนที่ผมเล่าไปในตอนที่แล้ว
เรื่องราวการเลียนแบบข้างบน คงทำให้เกิดรอยยิ้มได้นะฮะ … เพราะเขาคือหนึ่งในความมหัศจรรย์ของชีวิตเราเลยครับ
บทความโดย: บรรทัดที่สิบเอ็ด (พ่อเอก-จิรัฏฐ์ สิริเฉลิมพงศ์)